วัดโพธิ์ศรีใน
โดย สายธาร กิจสรรมพันธ์
จังหวัด: อุดรธานี
ชื่ออื่น: บ้านเชียง
ที่ตั้ง: ถ.โพธิ์ศรี
ม.11 บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน
พิกัด: 17.408177 N,
103.243256 E
เขตลุ่มน้ำหลัก: สงคราม
เขตลุ่มน้ำรอง: ห้วยนาคำ, บึงสระหลวง, สระแก้ว, ห้วยบ้าน, ห้วยกกขาม,ห้วยกาโพธิ์, บ่อกาไผ่, สระโรงเรียน
หน่วยงานที่ดูแลรักษา: กรมศิลปากร,
เทศบาลตำบลบ้านเชียง
การขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร, ขึ้นทะเบียนของ UNESCO
รายละเอียดการขึ้นทะเบียน:
-กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกาา เล่ม 115 ตอนพิเศษ 4ง วันที่ 14 มกราคม 2541
เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
-องค์การยูเนสโก (UNESCO) องค์การสหประชาชาติ
ได้ประกาศให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรมใน พ.ศ.2535 จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(iii) – เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
นับว่าเป็นแหล่งมรดกโลกอันดับที่
4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 359 ของโลก
ยุคทางโบราณคดี: ยุคก่อนประวัติศาสตร์
สมัย/วัฒนธรรม: สมัยหินใหม่, สมัยโลหะ, สมัยสำริด, สมัยเหล็ก, สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
อายุทางโบราณคดี: 4,300-1,800 ปีมาแล้ว
อายุทางวิทยาศาสตร์: จากการขุดค้นในปี
2515 นายพจน์ เกื้อกูล ได้เก็บตัวอย่างเศษภาชนะดินเผาไปหาค่าอายุด้วยวิธี
thermoluminescence ที่มหาวิทยาลัยนาระ ประเทศญี่ปุ่น โดย
ดร.อิชิกาวะ และนาคะกะวะ ได้ค่าอายุ 6,393 ปีมาแล้ว
(ค่าอายุนี้ยังมีข้อถกเถียงอีกมาก เนื่องจากในระยะเวลาต่อมาได้ม
อายุทางตำนาน: -
ประเภทของแหล่งโบราณคดี: สุสาน
สาระสำคัญทางโบราณคดี:
บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน ตั้งอยู่ในเขตบ้านเชียง
และเป็นพื้นที่ที่พบร่องรอยวัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์
โดยได้เริ่มมีการขุดค้นในพื้นที่นี้ตั้งแต่ พ.ศ.2515 หลังจากนั้นจึงมีการจัดแสดงหลุมขุดค้นทางโบราณคดีดังกล่าวเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน
ก่อนจะขุดขยายผนังเชื่อมต่อหลุมจัดแสดงเดิมทั้ง 2 หลุมเข้าด้วยกัน
พร้อมกับปรับปรุงอาคารหลุมเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2535
ซึ่งพบหลักฐานหลุมฝังศพ 52 หลุม (หลุมฝังศพ/โครงกระดูกหมายเลข
001-052) และได้เก็บหลักฐานขึ้น 5 หลุม
(หลุมฝังศพ/โครงกระดูกหมายเลข 005, 007, 030, 035 และ 039)
คงเหลือหลักฐานในหลุมขุดค้น 47 หลุมฝังศพ
หลังการดำเนินงานในปี 2535 ดร.อำพัน
กิจงาม เสนอแนวคิดพัฒนาการทางยุคสมัยของบ้านเชียง โดยอ้างผลการขุดค้นจากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน
ทั้งรูปแบบการฝังศพและรูปแบบโบราณวัตถุ
สรุปผลการขุดค้นภายในวัดโพธิ์ศรีในตั้งแต่
พ.ศ.2515
รวมพื้นที่ราว 126 ตารางเมตร
พบหลักฐานทั้งสิ้น 116 หลุมฝังศพ
คิดเป็นความหนาแน่นโดยเฉลี่ยราว 0.9 หลุมฝังศพ/1 ตารางเมตร โดยใน 116 หลุมฝังศพ
ปัจจุบันพบตัวอย่างโครงกระดูกทั้งสิ้น 109 โครง
(ยกเว้นหลุมฝังศพหมายเลข 005, 007, 012, 030, 035, 039 และ 052)
จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มโครงกระดูกที่มีค่าประเมินอายุเมื่อตายน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20
ปี จำนวนโครงกระดูก 47 โครง (43.12%)
(2) กลุ่มโครงกระดูกที่มีค่าประเมินอายุเมื่อตายมากกว่า 20 ปี จำนวนโครงกระดูก 62 โครง (56.88%) (นฤพล หวังธงชัยเจริญ 2552)
อายุสมัยและการจัดแบ่งสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียงที่วัดโพธิ์ศรีใน
อายุสมัยของการอยู่อาศัยแรกเริ่มที่บ้านเชียง
ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ยังไม่เป็นที่ยุติ (สุรพล นาถะพินธุ 2550ข
: 48) ส่วนรูปแบบการฝังศพและภาชนะดินเผา สมัยต้น-ปลาย
ที่พบที่วัดโพธิ์ศรีใน สอดคล้องกับลักษณะทางวัฒนธรรมของบ้านเชียงสมัยต่างๆ ตามที่
รศ.สุรพล นาถะพินธุ (2550ข : 48-58) สรุปไว้
ดังนี้
1.สมัยต้น (Early Period) มีอายุระหว่าง 4,300-3,000
ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย
บ้านเชียงได้เริ่มเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม
ประชากรมีอาชีพหลักคือการเพาะปลูกข้าวและการเลี้ยงสัตว์ (อย่างน้อยก็วัวและหมู) ประเพณีการฝังศพมีอย่างน้อย
3 แบบ คือ วางศพในลัษณะนอนงอเข่า วางศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว
และการบรรจุศพเด็ก (เท่านั้น) ในภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ก่อนที่จะนำไปฝัง
ในการฝังศพของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์รุ่นแรกที่บ้านเชียงนั้น
สส่วนใหญ่มีการบรรจุภาชนะดินเผาลงไปในหลุมฝังศพ
และมีการใช้เครื่องประดับตกแต่งร่างกายผู้ตายด้วย
ภาชนะดินเผาที่ฝังอยู่ในหลมฝังศพสมัยนี้
อาจมีการเปลี่ยนแปลงประเภทไปตามช่วงเวลาต่างๆ ด้วย ดังนี้
ระยะที่ 1 มีภาชนะดินเผาประเภทเด่นคือ
ภาขนะดินเผาสีดำ-เทาเข้ม มีเชิงหรือฐานเตี้ยๆ
ลำตัวภาชนะครึ่งบนมักตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้ง
แล้วตกแต่งเพิ่มเติมด้วยการกดจุดหรือเป็นเส้นสั้นๆ
เติมในพื้นที่ระหว่างลายเส้นคดโค้ง
ส่วนครึ่งล่างของตัวภาชนะมักตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ซึ่งหมายถึงลวดลายที่เกิดจากการกดประทับผิวภาชนะดินเผาด้วยเชือกนั่นเอง
ระยะที่ 2 เริ่มปรากฏภาชนะดินเผาแบบใหม่เพิ่มขึ้นมา
คือ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพเด็กก่อนที่จะนำไปฝัง
นอกจากนี้ยังมีภาชนะดินเผาขนาดสามัญซึ่งมีการตกแต่งพื้นที่ส่วนใหญ่บนผิวภาชนะด้านนอกด้วยเส้นขีดเป็นลายคดโง
จึงดูเสมือนเป็นภาชนะที่มีปริมาณลวดลายขีดตกแต่งหนาแน่นกว่าบนภาชนะของสมัยต้นช่วงแรก
ระยะที่ 3 เริ่มปรากฏภาชนะแบบที่มีผนังด้านข้างตรงถึงเกือบตรง
ทำให้มีรูปร่างภาชนะเป็นทรงกระบอก (beaker) และยังมีภาชนะประเภอหม้อก้นกลม
คอภาชนะสั้นๆ ปากตั้งตรง ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบตลอดทั้งใบ
ระยะที่ 4 ปรากฏภาชนะดินเผาประเภทหม้อก้นกลม
มีกลุ่มหนึ่งตกแต่งบริเวณไหล่ภาชนะด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้งผสมกับการระบายด้วยสีแดง
ในขณะที่ส่วนบริเวณลำตัวภาชนะช่วงใต้ไหล่ลงมาตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ
ภาชนะดินเผาแบบนี้มีการตั้งชื่อว่า “ภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้ว”
เพราะพบว่าเป็นภาชนะดินเผาประเภทหลักที่พบในชั้นอยู่อาศัยของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ช่วงแรกที่บ้านอ้อมแก้ว
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเชียง
ผู้คนในช่วงแรกๆ
ของบ้านเชียงสมัยต้นยังไม่มีการใช้วัตถุที่ทำด้วยโลหะ
เครื่องมือมีคมที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นขวานหินขัด
เครื่องประดับร่างกายที่ใช้ก็ทำจากหินและเปลือกหอย
แต่ต่อมาราว
4,000 ปีมาแล้ว เริ่มมีการใช้โลหะสำริด โดยใช้ทำทั้งเครื่องมือและเครื่องประดับ
เช่น หัวขวาน ใบหอก แหวน กำไล ฯลฯ
2.สมัยกลาง (Middle Period) อายุระหว่าง 3,000-2,000
ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย
ช่วงเวลานี้
คนยุคก่อนประวัติสาสตร์ที่บ้านเชียงเป็นเกษตรกรที่มีการใช้โลหะทำเครื่องมือใช้สอยและเครื่องประดับแล้ว
ทั้งนี้
ในช่วงแรกๆ ของสมัยกลางยังไม่มีการใช้เหล็ก มีแต่การใช้สำริด จนกระทั่งราว 2,700-2,500 ปีมาแล้ว จึงเริ่มปรากฏการใช้เหล็กขึ้นที่บ้านเชียง
ประเพณีการฝังศพของคนสมัยนี้เป็นแบบการวางศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว
บางศพมีการนำภาชนะมากกว่า 1
ใบมาทุบให้แตก แล้วโรยคลุมทับศพ
ภาชนะดินเผาประเภทเด่นที่พบในหลุมศพสมัยกลาง
ได้แก่ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ ผิวนอกสีขาว
ทำส่วนไหล่ภาชนะหักมุมหรือโค้งมากจนเกือบเป็นมุมค่อนข้างชัด
มีทั้งแบบก้นกลมและก้นแหลม
บางใบมีการตกแต่งด้วยลายขีดผสมกับลายเขียนสีที่บริเวณใกล้ปากภาชนะ
ในช่วงปลายสุดของสมัยกลาง
เริ่มมีการตกแต่งปากภาชนะดินเผารูปแบบเช่นนี้ด้วยการทาสีแดง
3.สมัยปลาย (Late Period) อายุระหว่าง 2,300-1,800
ปีมาแล้ว
สมัยนี้มีการใช้เหล็กทำเป็นเครื่องเครื่องใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเชียง
ส่วนสำริดยังคงถูกใช้ทำเป็นเครื่องประดับที่มีรูปแบบและลักษณะที่ประณีต
วิจิตรบรรจงมากขึ้นกว่าสมัยที่ผ่านมา
ประเพณีการฝังศพของคนในสมัยนี้เป็นแบบวางศพในท่านอนหงายเหยียดยาว
มีภาชนะดินเผาทับบนศพ
ลักษณะภาชนะดินเผาที่พบในช่วงสมัยนี้
ได้แก่
ช่วงต้นของสมัยปลาย
พบภาชนะดินเผาเขียนสีแดงบนพื้นสีนวล
ช่วงกลางของสมัยปลาย
เริ่มมีการใช้ภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นสีแดง
ช่วงท้ายของสมัยปลาย
เริ่มมีการใช้ภาชนะดินเผาทาด้วยน้ำดินสีแดงแล้วขัดมัน
สภาพสังคม
สภาพสังคมของบ้านเชียงโดยสรุปเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่
ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ควบคู่ไปกับการหาของป่าและล่าสัตว์
รู้จักการผลิตและควบคุมผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของสมาชิกในชุมชน
รู้จักการจัดสรรผลิตผลส่วนเกินสำหรับแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบบางประการที่ไม่มีในชุมชนของตนกับต่างชุมชน
เป็นสังคมที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านโลหกรรม
การผลิตภาชนะดินเผา ภายในชุมชนมีการแบ่งงานกัน
มีรูปแบบความเชื่อและวัฒนธรรมร่วมกัน มีพิธีกรรมที่ซับซ้อน มีการแบ่งระดับ สถานะ
หรือความสำคัญของบุคคล โดยสามารถสังเกตและตีความได้จากหลักฐานต่างๆ ภายในบ้านเชียง
โดยเฉพาะหลักฐานประเภทหลุมฝังศพจากวัดโพธิ์ศรีใน (เกสรบัว เอกศักดิ์ 2546)การขุดค้นทางโบราณคดี
ในปี 2546-2548
ที่วัดโพธิ์ศรีใน
ได้พบหลักฐานโครงกระดูกสัตว์ที่สำคัญแบบเต็มโครงสมบูรณ์ ได้แก่ โครงกระดูกควาย โครงกระดูกปลา และโครงกระดูกสุนัข เป็นต้น
จากการวิเคราะห์เบื้องต้นโดย ดร.อำพัน กิจงาม
นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระดูกสัตว์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงกระดูกควายที่พบว่า
น่าจะเป็นควายที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน เนื่องจากกระดูกเท้ามีลักษณะผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการกดทับจากการใช้แรงงาน
นอกจากนี้ ขณะดำเนินการขยายผนังหลุมขุดค้น เพื่อวางโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
ได้พบโครงกระดูกสุนัขแบบเต็มโครงสมบูรณ์ ซึ่งน่าจะเป็นสุนัขที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เช่นกัน
(กระทรวงวัฒนธรรม มปป.) ข้อมูลจากกระดูกสัตว์ (กระทรวงวัฒนธรรม มปป. ; Kijngam 1979) ดร.
อำพัน
กิจงาม นักโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสัตว์
ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างกระดูกสัตว์ชนิดต่างๆ
ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ผลการศึกษาระบุว่า ได้พบกระดูกสัตว์มากกว่า 60
ชนิด (Kijngam 1979) โดยชนิดของสัตว์ที่พบในพื้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
สามารถนำมาศึกษาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรวมไปถึงปัจจัยต่างๆ
ที่เอื้อประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละชนิด
ซึ่งย่อมมีความแตกต่างกันไปตามชนิดและประเภทของสัตว์ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ
ณ ระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ต้องอาศัยการศึกษาวิเคราะห์ชนิดของพืชประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงตั้งแต่สมัยต้นจนถึงสมัยปลาย
ได้แก่ วัว หมู และสุนัข
จากการศึกษาพบว่าสัตว์เลี้ยงดังกล่าวมีอายุค่อนข้างน้อยเมื่อตาย
ต่อมาในสมัยกลางได้พบกระดูกควาย ซึ่งสามารถระบุได้ว่าเป็นควายเลี้ยงเพื่อใช้งาน
เพราะมีการนำกระดูกกีบเท้าของควาย (III phalange) ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงมาศึกษาเปรียบเทียบกับควายปัจจุบัน
พบว่ามีร่องรอยการลากไถเหมือนกัน
โดยมีความแตกต่างกับวัวซึ่งไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้วัวในการลากไถเลย
ผลการศึกษายังระบุอีกว่า เมื่อปรากฏหลักฐานการเลี้ยงควายในสมัยกลาง
ก็ปรากฏหลักฐานการใช้เครื่องมือเหล็กที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สัตว์จำพวก
วัวป่า หมูป่า กวาง สมัน ละอง/ละมั่ง เนื้อทราย เก้ง
เป็นสัตว์ที่ถูกล่ามาเพื่อใช้เป็นอาหาร
มีหลักฐานประการหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปริมาณความหนาแน่นของสัตว์เหล่านี้
ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากขึ้นตั้งแต่สมัยกลางลงมา
ส่วนสัตว์ขนาดเล็กที่ถูกจับมาเป็นอาหาร ได้แก่ กระต่าย ชะมด อีเห็น พังพอน หนู
นาคใหญ่ เสือปลา แมวป่า สัตว์น้ำ ได้แก่ หอยและปลาชนิดต่างๆ สัตว์เหล่านี้จะพบมากในสมัยต้นและเริ่มลดจำนวนลงในสมัยต่อมา
นอกจากนี้ยังพบสัตว์จำพวก จระเข้ หมาหริ่ง ตัวนิ่ม อึ่งอ่าง คางคก ตะกวด และเม่น
รวมอยู่ด้วย
ประเภทและชนิดของสัตว์ที่พบ
ทำให้สามารถระบุลักษณะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ได้ โดยอาศัยรูปแบบการดำรงชีวิตของสัตว์เป็นตัววิเคราะห์สภาพแวดล้อม
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในสมัยต้น
พบว่ามีสัตว์ที่ชอบอยู่อาศัยในภูมิประเทศแบบป่าดิบแล้ง (Dry decidous forest)
และมีแหล่งน้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี
ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสมัยกลาง ผลการศึกษาระบุว่า
ความต้องการในการขยายพื้นที่เพาะปลูกเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีบางประการ
อันได้แก่ การใช้เครื่องมือเหล็ก และรู้จักใช้ควายเป็นเครื่องทุ่นแรงในการลากไถ
เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพแวดล้อมของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ยังผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ทำให้หลักฐานกระดูกสัตว์ที่พบเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ลวดลายบนภาชนะดินเผา
อัตถสิทธิ์
สุขขำ (2547)
ศึกษาและตีความลวดลายบนภาชนะดินเผาที่พบในแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีในว่า
ลวดลายภาชนะแสดงถึงความพิถีพิถัน ผู้ผลิตสร้างขึ้นให้กับผู้ตายตามประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับความตาย
พื้นฐานทางความคิดของผู้สร้างสรรค์ลวดลายของชุมชนมีความร่วมกันทางวัฒนธรรม
แต่ในขณะเดียวกันก็ปรากฏถึงความหลากหลายในการออกแบบ
ซึ่งมีพัฒนาการในระยะแรกเริ่มจากรูปแบบเรียบง่าย เมื่อผลิตจำนวนมากขึ้น
มีความรู้ความชำนาญมากขึ้น ก็พัฒนาไปสู่การสร้างลวดลายที่ซับซ้อนมากขึ้นในระยะหลัง
อัตถสิทธิ์
สุขขำ (2547)
ได้จัดจำแนกแนวคิดในการออกแบบลวดลายของผู้ผลิตภาชนะดินเผาก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง
ได้ดังนี้
1.กลุ่มลวดลายรูปร่างเลขาคณิต (Geometric Shape Designs)
2.กลุ่มลวดลายอิสระแบบดุลยภาพสมมาตร (Free-Hand Formal Balance
Designs)
3.กลุ่มลวดลายอิสระแบบดุลยภาพอสมมาตร (Free-Hand Informal Balance
Designs)
ส่วนรูปแบบลวดลายที่นิยมในสมัยปลาย
คือ การเขียนสีบนเคลือบน้ำดินสีนวล ลวดลายวงกลมหรือวงรี
ลวดลายเส้นโค้งแบบก้นหอยวนเข้าหาจุดศูนย์กลาง ลายเส้นโค้งแบบก้นหอยวนเข้าหาจุดศูนย์กลางแล้ววนออก และลวดลายตัว S และ Z
นอกจากนี้
อัตถสิทธิ์ สุขขำ (2547)
ยังตีความพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์จากลวดลายบนภาชนะดินเผาที่พบที่แหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีในว่ามีความซับซ้อนขึ้นตามช่วงเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ประชากรบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน
การศึกษาฟันในโครงกระดูกเด็ก
13 โครง จากทั้งหมด 43 โครงของสมัยต้น (สยาม แก้วสุวรรณ
2546) พบว่าเด็กที่เสียชีวิตมีอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 15 ปี พบโรคฟันผุมาก
(พบแทบทุกโครงที่ศึกษา) อาจแสดงถึงความนิยมบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น
ข้าว แป้ง น้ำตาล และทำความสะอาดฟันไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังพบโรคปริทันต์ 2
โครง
นฤพล
หวังธงชัยเจริญ (2552)
ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน จำนวน 109
โครง พบว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์วัยทารกถึงวัยรุ้น (อายุต่ำกว่า 20
ปี) 47 โครง และโครงกระดูกผู้ใหญ่ 62 โครง เพศชายมีความสูงระหว่าง 159.3-167.3 เซนติเมตร
เพศหญิงมีความสูงระหว่าง 144.5-153.8 เซนติเมตร
เพศชายมีขนาดเฉลี่ยของกระดูกไหปลาร้า ต้นแบน ปลายแขนด้านนอก ปลายแขนด้านใน ต้นขา
สะบ้า หน้าแข้ง และกระดูกข้อเท้า calcaneus และ talus
ใหญ่ กว้าง
และหนากว่าค่าเฉลี่ยในกระดูกชิ้นเดียวกันของเพศหญิงอย่างมีนับสำคัญทางสถิติ
เพราะฉะนั้นสามารถใช้กระดูกชิ้นเหล่านี้ประเมินเพศได้
นอกจากนี้จากการศึกษายังได้สมการประเมินอายุเมื่อตายของโครงกระดูกวัยทารกถึงวัยรุ่น
กรกฎ
บุญลพ และนฤพล หวังธงชัยเจริญ (2553) ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน
ได้ผลดังนี้
เพศและอายุ
จำนวนโครงกระดูกมนุษย์ที่นำมาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ทั้งสิ้น
109 ตัวอย่าง สามารถจำแนกเป็น วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้น จำนวน 43 ตัวอย่าง และ วัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ จำนวน 66 ตัวอย่าง
และในแต่ละช่วงวัยสามารถแยกย่อยออกเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับชั้นวัฒนธรรมและเพศ ได้คือ
กลุ่มวัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้น จำนวน 43 ตัวอย่าง
จำแนกเป็น
- วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยต้น
25 ตัวอย่าง
- วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยกลาง
2 ตัวอย่าง
- วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยปลาย
15 ตัวอย่าง
- วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นจัดชั้นวัฒนธรรมไม่ได้
1 ตัวอย่าง
กลุ่มวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ จำนวน
66 ตัวอย่าง จำแนกเป็น
- เพศชาย จำนวน 26 ตัวอย่าง แบ่งเป็น
ก.สมัยต้น 10
ตัวอย่าง
ข.สมัยปลาย
16 ตัวอย่าง
- เพศหญิง จำนวน 26 ตัวอย่าง แบ่งเป็น
ก.สมัยต้น 13
ตัวอย่าง
ข.สมัยปลาย
11 ตัวอย่าง
ค.จำแนกชั้นวัฒนธรรมไม่ได้ 2 ตัวอย่าง
- วัยผู้ใหญ่ ไม่สามารถระบุเพศได้ จำนวน 14 ตัวอย่าง
แบ่งเป็น
ก.สมัยต้น
3 ตัวอย่าง
ข.สมัยปลาย
8 ตัวอย่าง
ค.จำแนกชั้นวัฒนธรรมไม่ได้ 3 ตัวอย่าง
การศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในของนฤพล
หวังธงชัยเจริญ
พบว่าเบื้องต้นสามารถ
ลักษณะทางกายภาพของกะโหลกศีรษะ
ลักษณะที่สามารถวัดได้
ผลการวัดกะโหลกศีรษะและดรรชนีรูปพรรณสัณฐานของส่วนต่างๆ
ในกะโหลกศีรษะมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ วัยผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง
จากตัวอย่างหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่พบจากการขุดค้น
พ.ศ.2546
ตามรายละเอียดดังปรากฏในตารางข้างต้นนั้น นำไปสู่การอธิบายเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของประชากร
ซึ่งเป็นแนวทางในการศึกษาตามมาตร ฐานทางมานุษยวิทยากายภาพชีวภาพ (Howells
1973; Martin and Saller 1957) ที่แสดงให้เห็นความสอดคล้องของสัดส่วนรูปพรรณสัณฐานในกะโหลกศีรษะ
ระหว่างขนาดที่ได้จากการวัดตามจุดกำหนดต่างๆ
กับดรรชนีบ่งชี้รูปทรงสัณฐานของกะโหลกศีรษะในกลุ่มประชากรสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์
ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ ดังนี้
รูปทรงของกะโหลกศรีษะโดยรวม (Vault Shape)
รูปทรง
Vault
shape จากกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ ปรากฏชัดเจนจากค่าดรรชนีจำนวน 3
รายการ ได้แก่ ดรรชนี cranial (หรือ length-breadth),
ดรรชนี height-breadth, และ ดรรชนี height-length
ทั้งนี้
พบว่าผลการศึกษาครั้งนี้มีความสอดคล้องกับผลการศึกษากะโหลกศีรษะจากแหล่ง
โบราณคดีบ้านเชียง ชุดที่พบจากการขุดค้นเมื่อ พ.ศ. 2517-2518 (Pietrusewsky
and Douglas 2002) กล่าวคือ พบว่าทั้งในเพศชายและหญิง
ส่วนใหญ่มีลักษณะกะ โหลกศีรษะแบบ Mesocranial หรือกะโหลกศีรษะขนาดปานกลาง
ซึ่งถือเป็นดรรชนีที่เด่นที่สุดในกลุ่มดรรชนีที่สามารถประเมินได้จากผลการศึก
ษาโดยวิธีการวัด โดยในเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 74.1-83.8 ขณะที่ค่าดรรชนีของเพศชายอยุ่ที่ระหว่าง
69.9-85.2 (โปรดดูรายละเอียดประกอบจากตาราง ที่ 2.1 –
2.4)
สำหรับการศึกษาในมิติด้านความสูงของกะโหลกศีรษะ
(cranial
height) นั้น ปรากฏว่า ทั้งสองเพศ (ชาย-หญิง)
มีรูปทรงกะโหลกศีรษะที่มีความสูงค่อนข้างมาก (hypsicrane or high cranium) กล่าวคือมีค่าดรรชนีระหว่าง 77.8-80.3 ในเพศชาย
และในเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 69.6 – 80.8) กระนั้นก็ดี
ค่าดรรชนีที่ได้บ่งชี้ว่ากะโหลกศีรษะของเพศหญิงมีความสูงกว่ากะโหลกศีรษะของเพศชาย
เล็กน้อย
ส่วนดรรชนี
height-breadth
cranial index แสดงให้เห็นว่าทั้งเพศหญิงและชายมีลักษณะกะโหลกศีรษะสูง
ที่จัดอยู่ในกลุ่ม acrocrane โดยในเพศชายมีค่าดรรชนีระหว่าง
93.1-107.8 ส่วนเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 87.5-107.1
โดยสรุปแล้ว
จากข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวบ่งชี้ว่าประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จากกลุ่มตัว
อย่างที่นำมาศึกษาชุดนี้
ทั้งเพศชายและหญิงล้วนมีรูปพรรณสัณฐานของกะโหลกศิรษะที่คล้ายคลึงกัน
ไม่ว่าจะเป็นมิติของความสูงหรือความกว้าง-ยาว โดยมีความกว้างและยาวปานกลาง
ขณะที่ในมิติด้านความสูงนั้น กะโหลกศีรษะของทั้ง 2 เพศ
มีลักษณะค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งหมดกะโหลกศีรษะของเพศหญิงมีขนาดที่เล้กกว่ากะโหลกศีรษะของเพศชายเล็กน้อย
อนึ่ง นักวิชาการด้านมานุษยวิทยากายภาพชีวภาพ
บางท่าน เช่น Larsen (1997, 2000) ให้ความเห็นว่าขนาดที่ไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างกะโหลกศีรษะของเพศหญิงและชายนั้น
อาจเป็นผลมาจากปัจจัยด้านโภชนาการ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีความคล้ายคลึงกันในขนาดและสัณฐานของกะโหลกศีรษะของกลุ่มตัวอย่างประชากรก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงชุดที่นำมาศึกษานี้
ก็อาจเป็นไปในทำนองเดียวกัน
รูปพรรณสัณฐานของส่วนใบหน้าโดยรวม (Face Shape)
ข้อมูลจากผลการศึกษากะโหลกศีรษะโดยวิธีการวัดกลุ่มตัวอย่างชุดนี้
บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของดรรชนีสัดส่วนใบหน้า ไม่ว่าจะโดยการพิจารณาเฉพาะส่วนบน (upper facial) หรือใบหน้าทั้งหมด (total facial ซึ่งรวมถึงส่วนขากรรไกรล่าง)
โดยเพศชายมีค่าขนาดสัดส่วนใบหน้าปานกลาง-สูง
ในขณะที่เพศหญิงมีค่าขนาดสัดส่วนใบหน้าปานกลางโดยเฉลี่ย นอกจากนั้น รูปพรรณสัณฐานในส่วนใบหน้ายังสามารถพิจารณาได้จากสัดส่วนของเบ้าตา,
โพรงจมูก, เพดานปากในกระดูกขากรรไกรบน,
กล่าวคือ ทั้งเพศชายและหญิงล้วนมีค่าดรรชนีของสัณฐานเบ้าตาที่กว้าง
(hypericonch) ส่วนสัณฐานของโพรงจมูกนั้นก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้ง
2 เพศ เป็นส่วนใหญ่ คือจัดเป็นแบบโพรงจมูกขนาดปานกลาง (mesorrhine)
กระนั้นก็ดี ในบางตัวอย่างของเพศชายและหญิงก็แสดงให้เห็นความหลากหลายของรูปทรงสัณฐานส่วนโพรงจมูก
ทั้งนี้ นอกจากโพรงจมูกขนาดปานกลางแล้วยังพบว่ามีรูปทรงโพรงจมูกแบบกว้าง (chamaerrhine)
และแบบกว้างมาก (hyperchamaerrhine) ส่วนรูปทรงของพื้นที่เพดานปากในกระดูกขากรรไกรบน
พบว่าจัดเป็นแบบเพดานปากที่มีความกว้างในทั้ง 2 เพศ
ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสัดส่วนความกว้างและความยาวของขอบด้านนอกที่สามารถวัดได้จากกระดูกส่วนดังกล่าว
รูปพรรณสัณฐานของขากรรไกรล่าง โดยรวม (Mandible Shape)
ดรรชนี
2 รายการ ประกอบด้วย ramus index และ jugomandibluar
index ที่ศึกษาได้ในกระดูกขากรรไกรล่าง
บ่งชี้ขนาดและรูปทรงสัณฐานของกระดูกส่วนดังกล่าวในเพศชายและเพศหญิงได้ว่า
ขากรรไกรล่างของผู้หญิงมีขนาดที่แคบกว่าขากรรไกรล่างของผู้ชายเล็กน้อยเมื่อพิจารณาจากดรรชนี
jugomandibluar index แต่หากพิจารณาจากดรรชนี ramus index
จะพบว่า
ขากรรไกรล่างในเพศชายมีขนาดที่กว้างกว่าขากรรไกรล่างในเพศหญิงไม่มากนัก
ลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้
ผลจากการศึกษารูปพรรณสัณฐานของกะโหลกศีรษะทั้งเพศชายและหญิง
สามารถสรุปลักษณะทางกายภาพที่ไม่สามารถวัดได้ของกะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนทั้งกลุ่มเพศชายและหญิง
ดังนี้
เพศชาย : กะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนในการอธิบายภาพของลักษณะทางกายภาพในกะโหลกศีรษะของเพศชาย
พบว่าในมิติด้านหน้า (frontal or anterior view) แสดงให้เห็นลักษณะหน้าผากที่ลาดเทสันคิ้วที่ค่อนข้างชัดเจนและเผยให้เห็นโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแกร่งของส่วนโหนกแก้ม
(well-marked robust zygomatics) โครงสร้างใบหน้าส่วนบน
(upper facial) และพื้นที่โพรงจมูก (nasal aperture) ล้วนมีขนาดไม่ใหญ่นัก
เมื่อพิจารณาในมิติทางด้านหลังหรือด้านท้ายทอยของกะโหลกศีรษะ
(occipital
view) พบว่าเพศชายมีรูปทรงของแนวโค้งกะโหลกศีรษะเป็นแบบ haus-form
หรือรูปทรงคล้าย 5 เหลี่ยม (ent agonal
shape)
มิติทางด้านข้าง
เช่น ข้างซ้าย (left
lateral view) เผยให้เห็นสัณฐานของส่วนสันคิ้ว (supra
orbital ridge) ที่ไม่เด่นชัดมากนัก นอกจากนั้น
พบว่ามีลักษณะการยื่นของขากรรไกรโดยเฉพาะการยื่นของขากรรไกรบน (prognathic
upper face) เล็กน้อยเช่นกัน สัณฐานของกะโหลกส่วนห่อหุ้มสมอง
(cranium) ซึ่งมีความสูงปานกลางนั้นสัมพันธ์อย่างได้สัดส่วนกับความกว้างและยาว
บริเวณปุ่มกระดูกด้านหลังหู (mastoid process) มีลักษณะเด่นชัด ขนาดใหญ่
มิติด้านบน
(superior
view) แสดงให้เห็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสมมาตร
และมีรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ (sphenoid shape) คละเคล้ากับรูปทรงแบบยาวรี
(elippsoid shape) และแบบกลมรีคล้ายรูปไข่ (ovoid
shape)
มิติด้านฐานกะโหลก
(basal
view) บ่งชี้รูปพรรณสัณฐานของเพดานปาก (palate) ที่มีความกว้างปานกลาง ถึงกว้างมาก
ทั้งยังพบว่าฟันแท้ในชุดขากรรไกรบนมีลักษณะสึกกร่อนอย่างชัดเจน
รวมทั้งปรากฏลักษณะทางกายภาพบางประการที่บ่งชี้ลักษณะเด่นของกลุ่มประชากรในสายพันธุ์มงโกลอยด์
เช่น ลักษณะฟันรูปพลั่ว (shovel-shaped) ในผิวสัมผัสฟันด้านประชิดลิ้นของฟันตัดซี่กลาง
(upper central incisors)
เพศหญิง : กะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนในการอธิบายภาพของลักษณะทางกายภาพในกะโหลกศีรษะของเพศชาย
พบว่าในมิติด้านหน้า (frontal or anterior view) แสดงให้เห็นลักษณะโพรงจมูก
(nasal aperture) ที่กว้าง
มิติทางด้านหลังหรือด้านท้ายทอยของกะโหลกศีรษะ
(occipital
view) พบว่ามีลักษณะสัณฐานของกะโหลกศีรษะแบบ arch shape ที่เด่นชัด
มิติทางด้านข้าง
เช่น ข้างซ้าย (left
lateral view) บ่งชี้ลักษณะเด่นชัดของเพศหญิง โดยเพาะส่วนหน้าผากที่โค้งมน
สัมพันธ์กับบริเวณสันคิ้วที่ค่อนข้างเรียบ
ขณะที่แนวโค้งของกะโหลกด้านหลังก็มีลักษณะโค้งมันรับกับส่วนหน้าผากเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังปรากฏลักษณะที่คล้ายคลึงกับกะโหลกศีรษะของเพศชาย
ซึ่งได้แก่สัณฐานที่มีการยื่น (prognathic) ของใบหน้าส่วนบน
(upper facial) รวมทั้งช่วงของกระดูกโหนกแก้มที่กว้างและแข็งแกร่ง
(broad and robust zygomatics) ทั้งนี้
ยังพบว่าส่วนสูงของกะโหลกศีรษะมีความสูงปานกลางสัมพันธ์กับช่วงความกว้างและความยาว
โดยมีกระดูกปุ่มหลังหู (mastoid process) ขนาดเล็ก
มิติด้านบน
(superior
view) มีลักษณะรูปทรงของกะโหลกศีรษะคล้ายรูปปีกผีเสื้อ (sphe
noid sahpe) ซึ่งเป็นรูปทรงสัณฐานที่ไม่สมมาตรระหว่างพื้นที่ส่วนหน้ากับส่วนหลังนั่นเอง
มิติด้านฐานกะโหลก
(basal
view) พบว่าในฟันกรามชุดขากรรไกรบนแสดงให้เห็นการสึกกร่อนของฟันไม่มากนัก
ส่วนในฟันตัดซี่กลาง (upper incisors) ก็ปรากฏพบลักษณะเด่นของกลุ่มประชากรสายพันธุ์มองโกลอยด์เช่นเดียวกันกับเพศชาย
ซึ่งได้แก่ลักษณะฟันรูปคล้ายพลั่ว (shovel-sahpe) ในผิวสัมผัสด้านประชิดลิ้น
ส่วนรูปทรงของกระดูกเพดานปากในขากรรไกรบนมีลักษณะกว้าง อย่างไรก็ดี
มิติด้านบนและด้านฐานของกะโหลกศีรษะเพศหญิงผู้นี้ มีลักษณะค่อนข้างบิดเบี้ยว ซึ่งไม่น่าจะเป็นการบิดเบี้ยวที่มีมาแต่กำเนิดหรือเป็นการบิดเบี้ยวตามธรรมชาติ
แต่น่าจะเป็นผลมาจากการบดอัดของดินเป็นเวลานานจนทำให้ไม่สามารถประกอบกลับให้ได้รูปทรงปกติตามลักษณะธรรมชาติ
ลักษณะทางกายภาพของฟัน
การศึกษาลักษณะที่สามารถวัดได้พบว่าขนาดพื้นที่ฟันโดยรวม = 1,066.76 ตร.มม
ส่วนการศึกษาลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้พบว่า
“ลักษณะฟันคล้ายรูปพลั่ว” หรือ “Shovel-shaped
teeth” เป็นลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้ของฟัน
ซึ่งถือเป็นลักษณะเด่นที่พบได้เด่นชัดในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
ทั้งนี้ ลักษณะทางกายภาพดังกล่าว
เป็นศัพท์ที่บ่งชี้ถึงรูปพรรณสัณฐานของฟันแท้ในชุดฟันตัดซี่กลางและซี่ริม
ทั้งในชุดขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง ซึ่งส่วนขอบด้านข้างของฟันซี่ดังกล่าวจะยกขึ้นเป็นสันทั้งสองข้าง
ทำให้พื้นที่ตรงกลางมีลักษณะเป็นแอ่ง
เมื่อมองโดยรวมแล้วทำให้ผิวสัมผัสของฟันด้านประชิดลิ้นมีรูปทรงคล้ายพลั่ว
ฟันรูปทรงคล้ายพลั่วที่ปรากฏในฟันตัดดังกล่าว
ถือเป็นลักษณะทางกายภาพแบบเด่นที่พบได้มากในกลุ่มประชากรมนุษย์แถบเอเชียตะวันออก (Hrdlicka 1920) นอกจากนั้น Scott และ Turner (1977) ได้ศึกษาในทางสถิติแล้วยังพบด้วยว่า
สามารถใช้คุณลักษณะของฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วนี้
เป็นบรรทัดฐานในการแบ่งกลุ่มสายพันธุ์มนุษย์แถบเอเชียตะวันออก ออกเป็น 2 กลุ่มย่อยด้วย ได้แก่ กลุ่มย่อยสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายเหนือ (Northern
Mongoloid) และสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายใต้ (Southern
Mongoloid) ผลการศึกษาทางสถิติของ Scott และ Turner พบว่า
กลุ่มสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายเหนือซึ่งจัดเป็นฟันแบบ Sinodont นั้น มีอัตราการพบลักษณะของฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วสูงถึงประมาณ 60-90
เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวได้แก่ ประชากรชาวจีน ธิเบต
และกลุ่มที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกของเอเชียตะวันออกนั่นเอง
ส่วนกลุ่มสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายใต้ ซึ่งจัดเป็นฟันแบบ Sundadont
นั้น
มีอัตรการพบฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วในอัตราที่ต่ำกว่าประชากรกลุ่มมงโกลอยด์ฝ่ายเหนือ
กล่าวคือพบในอัตราประมาณ 20-50 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งได้แก่กลุ่มประชากรในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และกลุ่มหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ คือ
กลุ่มหมู่เกาะโพลีนีเซีย (Polynesians) และแถบหมู่เกาะไมโครนีเซีย
(Micronesia)
นอกจากนั้น การศึกษาลักษณะรูปทรงสัณฐานของขากรรไกร พบว่าในเพศชายมีการถอนฟันตัดซี่ริมในชุดขากรรไกรบน
ซึ่งแสดงเห็นว่าเป็นการหลุดร่วงก่อนที่จะเสียชีวิต(Pre mortem tooth lost) โดยกระดูกเบ้าฟันมีการสมานเข้าด้วยกัน ส่วนขากรรไกรล่างพบว่า
ขากรรไกรล่างของตัวแทนเพศชายทางด้านหน้าแสดงให้เห็นลักษณะเด่นของความเป็นเพศชายอย่างชัดเจน
คือส่วนคางมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นสัน เมื่อพิจารณาทางด้านข้างนั้นส่วน
gonio-condylar แสดงให้เห็นลักษณะที่แผ่กางออกอย่างเด่นชัด
และมี รู mental foramen ทั้งซ้ายและขวาข้างละหนึ่งรู
ส่วน ramus มีลักษณะสูง ขณะที่ส่วน coronoid
process ยกสูงมากกว่าส่วน mandibular condyle ส่วนอัตราการสึกของฟันนั้นพบว่า
โดยรวมแล้วฟันมีการสึกกร่อนปานกลาง ทั้งนี้
ไม่ปรากฏลักษณะ rocker jaw ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายที่ศึกษาแต่อย่างใด
ส่วนขากรรไกรบนของเพศหญิงก็พบว่ามีการถอนฟันตัดซี่ริมในชุดขากรรไกรบนเช่นกัน
ซึ่งเป็นการหลุดร่วงของฟันก่อนที่จะเสียชีวิต(Pre mortem tooth lost)เพราะกระดูกเบ้าฟันแสดงให้เห็นการสมานเข้าด้วยกัน
ขณะที่จากรรไกรล่างนั้น
หลายตัวอย่างแสดงให้เห็นการหลุดร่วงของฟันที่เกิดขึ้นหลังจากเสียชีวิตแล้ว (Post
mortem tooth lost) บริเวณคางมีลักษณะมน และส่วน gonio-condylar
มีลักษณะแผ่กางออกเช่นเดียวกับเพศชาย ขณะที่ส่วน ramus มีลักษณะแคบ ทั้งนี้ ไม่ปรากฏลักษณะ rocker jaw ในกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงที่ศึกษาเช่นกัน
ลักษณะทางกายภาพของกระดูกส่วนต่ำกว่ากะโหลกศีรษะและสัดส่วนความสูง
แม้ว่าการศึกษาลักษณะที่วัดได้และวัดไม่ได้จากกระดูกส่วนต่ำกว่ากะโหลกศีรษะ
หรือส่วนใต้กะโหลกศีรษะ
ของตัวอย่างโครงกระดูกจากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ครั้งนี้จะมีข้อจำกัดอย่างน้อย 2 ประการ
คือ (1) สภาพความชำรุด แตกหัก
หรือความไม่สมบูรณ์ของส่วนกระดูกที่นำมาศึกษา ส่งผลให้ข้อมูลการวัดต่างๆ
ทั้งสองระเบียบวิธีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นำมาซึ่งข้อจำกัดในประการต่อมา หรือ (2)
ข้อจำกัดทางสถิติ การศึกษาวิเคราะห์ต่างๆ
มีจำนวนตัวอย่างอ้างอิงไม่มากเพียงพอ เพื่อเสริมให้ข้อมูลเกิดความสมบูรณ์กับมีความน่าจะเป็นในอัตราร้อยละที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี
ข้อมูลการศึกษาได้สร้างภาพความเข้าใจถึงลักษณะกายภาพของตัวอย่างประชากรดีในระดับหนึ่ง
สรุปเบื้องต้นได้ คือ
ความยาวและสัดส่วนความสูง
ในกลุ่มกระดูกทารก
เด็ก และวัยรุ่น ลักษณะที่วัดได้แสดงถึงพัฒนาการเจริญเติบโตของขนาดกระดูกตามช่วงวัยต่างๆ
การศึกษาด้วยวิธีการวัดขนาดความยาว ความกว้าง และเส้นผ่านศูนย์กลางของก้านกระดูก (diaphyses) ตามจุดกำหนดต่างๆ
สามารถใช้คำนวณค่าสมการเพื่อประเมินค่าอายุเมื่อตายของโครงกระดูกในอัตราความแม่นยำตั้งแต่ร้อยละ
65.7-91.2 โดยการวัดด้านกว้างส่วนปลายกระดูกต้นแขนให้ความแม่นยำมากที่สุดราวร้อยละ
93.3 ส่วนการวัดด้านกว้างส่วนปลายก้านกระดูกต้นขาให้ค่าความแม่นยำน้อยที่สุดราวร้อยละ
65.7
สัดส่วนความสูงในโครงกระดูกวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่
สำหรับกลุ่มโครงกระดูกผู้ใหญ่
เพศชายมีสัดส่วนความสูงตามค่าสมการไทยจีนระหว่าง 157.51 – 167.31 เซนติเมตร
และมีค่าเฉลี่ยความสูงประมาณ 162.18 เซนติเมตร
สูงกว่าเพศหญิงซึ่งมีค่าความสูงโดยเฉลี่ย 153.82 เซนติเมตร
และมีค่าความสูงอยู่ระหว่าง 144.15 – 164.33 เซนติเมตร
เมื่อเปรียบเทียบกับค่าความสูงโดยเฉลี่ยของกลุ่มประชากรยุคก่อนประวัติศาสตร์ในไทย
อย่างเช่น แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ปีการขุดค้น พ.ศ. 2516-2517 แหล่งโบราณบ้านโคกคอน แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว
และตัวอย่างประชากรไทยปัจจุบัน
พบว่าตัวอย่างจากวัดโพธิ์ศรีทั้งเพศชายและหญิงสูงใกล้เคียงกับกลุ่มประชากรอื่นที่นำมาเปรียบเทียบ
ทั้งหมดจัดได้เป็นความสูงระดับกลาง
รูปพรรณสัณฐานของกระดูกส่วนอื่นๆ
ลักษณะทางกายภาพจากการศึกษาค่าดรรชนี
แสดงถึงลักษณะและรูปทรงของกระดูก โดยเฉลี่ยตัวอย่างเพศชายมีสัดส่วนกระดูกสันหลังช่วงเอวชิ้นที่
1-3 บริเวณ spine นูน แต่ชิ้นที่ 4-5
ส่วน spine เว้าลง มีกระดูกกระเบนเหน็บกว้าง
กระดูกไหปลาร้าหนา กระดูกต้นแขนกลม กระดูกต้นขาค่อนข้างหนา
มีรูปด้านตัดของกระดูกต้นขาช่วงบนแบน ช่วงกลางก้านกระดูกค่อนข้างกลมและบาง
กระดูกสะบ้าหนาและใหญ่ กระดูกหน้าแข้งหนา กับมีรูปทรงหน้าตัดตอนบนของกระดูกแคบแบบรูปสามเหลี่ยม
ส่วนเพศหญิงโดยเฉลี่ย
มีค่าดรรชนีลำตัวกระดูกสันหลังช่วงเอวชิ้นที่ 1-4 นูน แต่ชิ้นที่ 5 เว้าเข้า มีลักษณะกระดูกก้นกบกว้าง กระดูกไหปลาร้าหนา กระดูกต้นแขนกลม
กระดูกต้นขาหนา รูปทรงด้านตัดกระดูกต้นขาช่วงบนแบน ส่วนด้านตัดกลางก้านกระดูกต้นขากลมและบาง
กระดูกหน้าแข้งหนา และมีรูปทรงด้านตัดบริเวณ nutrient foramen แคบแบบสามเหลี่ยมหรือแคบเช่นเดียวกับเพศชาย
เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางกายภาพจากค่าดรรชนีกระดูก
ทั้งสองเพศมีรูปทรงกระดูกใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างใน 3 ประการสำคัญ
คือ (1) ขนาดความกว้างและความยาวของกระดูกเชิงกรานของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
เป็นลักษณะเฉพาะทางสรีระของเพศหญิงสำหรับการคลอดบุตร (2) ความหนาของกระดูกไหปลาร้าที่มีมากกว่าเพศชายกับสัดส่วนรูปทรงด้านตัดของกระดูกต้นแขนเพศหญิงที่แคบกว่า
แสดงถึงการประกอบกิจกรรมที่ต้องใช้ช่วงแขนหัวไหล่อย่างหนักและสม่ำเสมอของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ส่วน
(3) ดรรชนีกระดูกสะบ้าของเพศชายมีขนาดกว้าง ยาว
และหนากว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เป็นลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่ว่าเพศชายมีขนาดกระดูกใหญ่ กว้าง
และหนากว่าเพศหญิงในทุกกลุ่มประชากร สอดคล้องกับผลการเปรียบเทียบข้อมูลการวัดขนาดของกระดูกระหว่างเพศหญิงและชาย
ซึ่งพบว่ามีกระดูกอย่างน้อย 9 ส่วนของเพศชาย คือ
กระดูกไหปลาร้า กระดูกต้นแขน กระดูกปลายแขนด้านนอก กระดูกปลายแขนด้านใน
กระดูกต้นแขน กระดูกสะบ้า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า calaneus และ talus มีค่าขนาดการวัดมากกว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางกายภาพภายในกลุ่มเพศเดียวกันกับช่วงการเปลี่ยนผ่านทางสังคมจากสมัยต้นสู่สมัยปลาย
ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏความแตกต่างอย่างใด
ยกเว้นจุดกำหนดการวัดส่วนระยะห่างน้อยที่สุดบริเวณกลางก้านกระดูกต้นแขนด้านซ้ายของเพศหญิง
ซึ่งเพศหญิงสมัยปลายมีค่าการวัดดังกล่าวมากกว่าเพศหญิงสมัยต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน
ส่วนลักษณะที่วัดไม่ได้ทั้ง
23 ลักษณะ ทั้งสองเพศพบลักษณะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน
มีความแตกต่างของการปรากฏลักษณะต่างๆ ไม่ต่างกันมากนัก เพศชายและหญิงมีรูปทรง acromion
ของกระดูกสะบักรูปสามเหลี่ยม มี Fovea capilis หัวกระดูกต้นขารูปสามเหลี่ยม มีกระดูกต้นขาโค้งเล็กน้อย กระดูกหน้าแข้งตรง
ปรากฏลักษณะแอ่งบริเวณตอนบนของลำตัวกระดูกสะบักราวร้อยละ 89 พบลักษณะรูบนแอ่ง
coranoid ของกระดูกต้นแขนราวร้อยละ 10-20 พบรอยกดหรือแอ่งกระดูกบนกระดูกสะบ้าทั้งหมด
แต่พบลักษณะรอยบากหรือในส่วนผิวหน้ากระดูกสะบ้าราวร้อยละ 10-20 ทั้งเพศชายและหญิงพบลักษณะรูหลอดเลือดตรงส่วนกลางก้านกระดูกไหปลาร้าด้านหลัง
ในอัตราค่อนข้างสูง กับพบลักษณะ distal tibial squatting facet ของกระดูกหน้าแข้งจากทุกตัวอย่างที่สามารถสังเกตศึกษาได้
การเปรียบเทียบพบความแตกต่างระหว่างเพศในอย่างน้อย
5 ลักษณะ คือ (1) รูปทรงกระดูกสะบักด้านใกล้กลางของเพศชายเป็นรูปตรงแต่ของเพศหญิงเป็นรูปเว้า
(2) รูปทรง facet ของกระดูกข้อเท้า calcaneus
ในเพศชายส่วนใหญ่เป็นรูปทรงเดี่ยวแต่เพศหญิงส่วนใหญ่มีรูปทรงแบบคู่
(3) ลักษณะ peroneal tubercle ของกระดูกหน้าแข้งซึ่งพบเฉพาะในเพศชายแต่ไม่พบในเพศหญิง
(4) การปรากฏของรอยสันกระดูกต้นขา third trochanter ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และ (5) ลักษณะ preauricular
surface กับ parturition pit ของกระดูกเชิงกรานพบเฉพาะในเพศหญิงเท่านั้น
ความแตกต่างจากการเปรียบเทียบลักษณะที่วัดไม่ได้ทั้งหมด
สอดคล้องกับผลการศึกษาลักษณะที่วัดได้ทั้งหมดที่นำเสนอมา
ตรงกับความรู้พื้นฐานกับข้อสมมติฐานเบื้องต้นในการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ 2 ประการ
คือ (1) โดยปกติเพศชายมีขนาดกระดูกใหญ่ หนา
และกว้างกว่าเพศหญิง ลักษณะที่วัดไม่ได้อย่าง peroneal tubercle และ third trochanter ซึ่งเป็นลักษณะที่สัมพันธ์กับสภาวะการเจริญเติบโตของกระดูกมากเกินปกติจึงมีแนวโน้มที่จะปรากฏในเพศชายมากกว่าในเพศหญิงเช่นเดียวกัน
และ (2) นอกจากกะโหลกศีรษะแล้ว
ส่วนกระดูกที่สามารถใช้ในการจำแนกเพศได้อย่างแม่นยำ คือ กระดูกเชิงกราน
เพราะส่วนกระดูกเชิงกรานของเพศหญิงถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาให้มีขนาดกว้างและใหญ่กว่าเพศชายเพื่อทำหน้าที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตร
ค่าดรรชนีกระดูกเชิงกรานเพศหญิงจึงมีค่ามากกว่าเพศชาย
นอกจากนี้ลักษณะที่วัดไมได้อย่าง preauricular surface กับ parturition
pit ซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ยังปรากฏเฉพาะในเพศหญิงเท่านั้น
ไม่พบจากตัวอย่างเพศชายในการศึกษานี้อย่างใด
เมื่อเปรียบเทียบลักษณะที่วัดไม่ได้ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและหญิงในสมัยวัฒนธรรมต่างกัน
ไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงใด
ลักษณะทางกายภาพโดยเฉพาะของส่วนกระดูกใต้กะโหลกศีรษะยังคงเดิม
เป็นลักษณะต่อเนื่องจากสมัยต้นสู่สมัยปลายเหมือนกับผลการเปรียบเทียบลักษณะที่วัดได้เช่นเดียวกัน
พยาธิสภาพและร่องรอยผิดปกติ
ผลจากการศึกษาในเบื้องต้นเกี่ยวกับพยาธิสภาพสมัยโบราณ
(Palaeopathology)
และร่องรอยผิดปกติ ซึ่งได้แก่ บาดแผลและอาการบาดเจ็บ (Trauma
and Injury) ของกลุ่มตัวอย่างโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
ที่พบจากการขุดค้นบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน ใน พ.ศ.2546 (BC
2003_PSN) นั้น พบว่าทั้งในกะโหลกศีรษะ และฟัน ตลอดจน
กระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนล่าง ไม่ปรากฏร่องรอยของโรคที่สาหัสแต่อย่างใด
โรคที่พบส่วนมากได้แก่กลุ่มอาการของโรคเหงือกและฟัน
(ฟันผุและเหงือกอักเสบ) ซึ่งเป็นอาการของโรคปริทันต์ อย่างไรก็ดี
เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มอาการของโรคบางชนิด
โดยเฉพาะลักษณะอาการของโรคเกี่ยวกับระบบเลือดผิดปกติ ทีส่งผลกระทบต่อกระดูก
ซึ่งเคยมีรายงานการปรากฏของโรคดังกล่าวในกลุ่มตัวอย่างกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียง
ในชุดที่พบจากการขุดค้น พ.ศ.2517-2518 รวมทั้งจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงอื่นๆ
เช่น ร่องรอยของกระดูกที่เป็นรูพรุนเนื้อหยาบในส่วนกะโหลกศีรษะ หรือ
ลักษณะการขยายตัวใหญ่ผิดปกติของ nutrient foramen ในกระดูกฝ่าเท้าและนิ้ว
นั้น กลับไม่ปรากฏพบในกลุ่มตัวอย่างชุด BC 2003_PSN ที่นำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้แต่อย่างใด
ส่วนร่องรอยอาการบาดเจ็บและบาดแผลนั้น
ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏลักษณะบาดแผลฉกรรจ์แต่อย่างใด คงมีเพียงบางตัวอย่าง เช่น
กะโหลกศีรษะ เท่านั้น มีมีรู คล้ายการเจาะ ด้วยวัตถุบางอย่างที่มีความคม
ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด ว่าร่องรอยบาดแผลที่เป็นรูในกะโหลกศีรษะที่พบนั้นเกิดจากอะไร ทั้งนี้ มีรายงานการศึกษาตัวอย่างกะโหลกศีรษะจากแหล่งโบราณคดีใกล้เคียงในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง
ซึ่งได้แก่แหล่งโบราณคดีบ้านธาตุ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
ว่ามีกะโหลกศีรษะที่มีรูเจาะลักษณะคล้ายกัน (แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว) โดย ศาสตรจารย์
นายแพทย์สุด แสงวิเชียร
ผู้วิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์ที่แหล่งโบราณคดีบ้านธาตุให้ความเห็นว่าเป็นลักษณะคล้ายการเจาะกะโหลกศีรษะเพื่อการรักษาอาการของโรคทางสมองบางอย่าง
ซึ่งเทคนิคการเจาะเปิดกะโหลกศีรษะเช่นนี้ เรียกว่า การ trephining
หรือ trephination ซึ่งถือเป็นการรักษาในลักษณะการผ่าตัดอย่างหนึ่ง
(สุด แสงวิเชียร และ วัฒนา สุภวัน 2520) อนึ่ง กรณีกะโหลกศีรษะที่มีรูจากชุด BC_2003_PSN นี้
ประพิศ พงศ์มาส ให้ความเห็นว่าคล้ายการถูกเจาะโดยเขี้ยวสัตว์ที่มีความยาว แหลมคม
ส่วนบาดแผลอื่นๆ
นั้น เท่าที่ประเมินในเบื้องต้น
คงเป็นเพียงบาดแผลในช่องปากซึ่งปรากฏในลักษณะร่องรอยการยุบตัวของเนื้อกระดูกขากรรไกร
ทั้งบนและล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการหลุดร่วงของฟันก่อนที่จะเสียชีวิต (premortem tooth
lost) และเนื้อกระดูกส่วนเบ้าฟันที่ฟันหลุดร่วงออกไปนั้นได้เกิดการสมานแผลเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
อย่างไรก็ดี การศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องพยาธิสภาพสมัยโบราณในคร้งนี้
เป็นการศึกษาในเบื้องต้นด้วยตาเปล่าเท่านั้น ในอนาคตอาจสามารถนำตัวอย่างกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชุดนี้มาศึกษาเพิ่มเติมด้วยเทคนิคอื่นๆ
เช่น วิธีรังสีวินิจฉัย ก็อาจช่วยให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะพยาธิสภาพ
ตลอดจนร่องรอยบาดแผลและอาการบาดเจ็บ ทั้งในกะโหลกศีรษะ ฟัน
และกระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนล่างชัดเจนยิ่งขึ้น
การใช้ประโยชน์: สุสาน
ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล:
ภาวิณี
รัตนเสรีสุข,
ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล
ที่มา: http://www.sac.or.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น