วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

วัดโพธิ์ศรีใน
โดย สายธาร  กิจสรรมพันธ์
จังหวัด: อุดรธานี
ชื่ออื่น: บ้านเชียง
ที่ตั้ง: ถ.โพธิ์ศรี ม.11 บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน
พิกัด: 17.408177 N, 103.243256 E
เขตลุ่มน้ำหลัก: สงคราม
เขตลุ่มน้ำรอง: ห้วยนาคำบึงสระหลวงสระแก้วห้วยบ้านห้วยกกขาม,ห้วยกาโพธิ์บ่อกาไผ่สระโรงเรียน
หน่วยงานที่ดูแลรักษา: กรมศิลปากร, เทศบาลตำบลบ้านเชียง
การขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนของ UNESCO
รายละเอียดการขึ้นทะเบียน: 
-กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกาา เล่ม 115 ตอนพิเศษ 4ง วันที่ 14 มกราคม 2541 เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
-องค์การยูเนสโก (UNESCO) องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรมใน พ.ศ.2535 จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
           (iii) – เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
นับว่าเป็นแหล่งมรดกโลกอันดับที่ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 359 ของโลก
ยุคทางโบราณคดี: ยุคก่อนประวัติศาสตร์
สมัย/วัฒนธรรม: สมัยหินใหม่สมัยโลหะสมัยสำริดสมัยเหล็กสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
อายุทางโบราณคดี: 4,300-1,800 ปีมาแล้ว
อายุทางวิทยาศาสตร์: จากการขุดค้นในปี 2515 นายพจน์ เกื้อกูล ได้เก็บตัวอย่างเศษภาชนะดินเผาไปหาค่าอายุด้วยวิธี thermoluminescence ที่มหาวิทยาลัยนาระ ประเทศญี่ปุ่น โดย ดร.อิชิกาวะ และนาคะกะวะ ได้ค่าอายุ 6,393 ปีมาแล้ว (ค่าอายุนี้ยังมีข้อถกเถียงอีกมาก เนื่องจากในระยะเวลาต่อมาได้ม
อายุทางตำนาน: -
ประเภทของแหล่งโบราณคดี: สุสาน

สาระสำคัญทางโบราณคดี: 
บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน ตั้งอยู่ในเขตบ้านเชียง และเป็นพื้นที่ที่พบร่องรอยวัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยได้เริ่มมีการขุดค้นในพื้นที่นี้ตั้งแต่ พ.ศ.2515 หลังจากนั้นจึงมีการจัดแสดงหลุมขุดค้นทางโบราณคดีดังกล่าวเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ก่อนจะขุดขยายผนังเชื่อมต่อหลุมจัดแสดงเดิมทั้ง 2 หลุมเข้าด้วยกัน พร้อมกับปรับปรุงอาคารหลุมเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2535 ซึ่งพบหลักฐานหลุมฝังศพ 52 หลุม (หลุมฝังศพ/โครงกระดูกหมายเลข 001-052) และได้เก็บหลักฐานขึ้น 5 หลุม (หลุมฝังศพ/โครงกระดูกหมายเลข 005, 007, 030, 035 และ 039) คงเหลือหลักฐานในหลุมขุดค้น 47 หลุมฝังศพ
หลังการดำเนินงานในปี 2535 ดร.อำพัน กิจงาม เสนอแนวคิดพัฒนาการทางยุคสมัยของบ้านเชียง โดยอ้างผลการขุดค้นจากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน ทั้งรูปแบบการฝังศพและรูปแบบโบราณวัตถุ
สรุปผลการขุดค้นภายในวัดโพธิ์ศรีในตั้งแต่ พ.ศ.2515 รวมพื้นที่ราว 126 ตารางเมตร พบหลักฐานทั้งสิ้น 116 หลุมฝังศพ คิดเป็นความหนาแน่นโดยเฉลี่ยราว 0.9 หลุมฝังศพ/1 ตารางเมตร โดยใน 116 หลุมฝังศพ ปัจจุบันพบตัวอย่างโครงกระดูกทั้งสิ้น 109 โครง (ยกเว้นหลุมฝังศพหมายเลข 005, 007, 012, 030, 035, 039 และ 052) จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มโครงกระดูกที่มีค่าประเมินอายุเมื่อตายน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี จำนวนโครงกระดูก 47 โครง (43.12%) (2) กลุ่มโครงกระดูกที่มีค่าประเมินอายุเมื่อตายมากกว่า 20 ปี จำนวนโครงกระดูก 62 โครง (56.88%) (นฤพล หวังธงชัยเจริญ 2552)

อายุสมัยและการจัดแบ่งสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียงที่วัดโพธิ์ศรีใน
อายุสมัยของการอยู่อาศัยแรกเริ่มที่บ้านเชียง ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ยังไม่เป็นที่ยุติ (สุรพล นาถะพินธุ 2550ข : 48) ส่วนรูปแบบการฝังศพและภาชนะดินเผา สมัยต้น-ปลาย ที่พบที่วัดโพธิ์ศรีใน สอดคล้องกับลักษณะทางวัฒนธรรมของบ้านเชียงสมัยต่างๆ ตามที่ รศ.สุรพล นาถะพินธุ (2550ข : 48-58) สรุปไว้ ดังนี้
1.สมัยต้น (Early Period) มีอายุระหว่าง 4,300-3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย
บ้านเชียงได้เริ่มเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม ประชากรมีอาชีพหลักคือการเพาะปลูกข้าวและการเลี้ยงสัตว์ (อย่างน้อยก็วัวและหมู)  ประเพณีการฝังศพมีอย่างน้อย 3 แบบ คือ วางศพในลัษณะนอนงอเข่า วางศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว และการบรรจุศพเด็ก (เท่านั้น) ในภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ก่อนที่จะนำไปฝัง
ในการฝังศพของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์รุ่นแรกที่บ้านเชียงนั้น สส่วนใหญ่มีการบรรจุภาชนะดินเผาลงไปในหลุมฝังศพ และมีการใช้เครื่องประดับตกแต่งร่างกายผู้ตายด้วย
ภาชนะดินเผาที่ฝังอยู่ในหลมฝังศพสมัยนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงประเภทไปตามช่วงเวลาต่างๆ ด้วย ดังนี้
ระยะที่ 1 มีภาชนะดินเผาประเภทเด่นคือ ภาขนะดินเผาสีดำ-เทาเข้ม มีเชิงหรือฐานเตี้ยๆ ลำตัวภาชนะครึ่งบนมักตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้ง แล้วตกแต่งเพิ่มเติมด้วยการกดจุดหรือเป็นเส้นสั้นๆ เติมในพื้นที่ระหว่างลายเส้นคดโค้ง ส่วนครึ่งล่างของตัวภาชนะมักตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ซึ่งหมายถึงลวดลายที่เกิดจากการกดประทับผิวภาชนะดินเผาด้วยเชือกนั่นเอง
ระยะที่ 2 เริ่มปรากฏภาชนะดินเผาแบบใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพเด็กก่อนที่จะนำไปฝัง นอกจากนี้ยังมีภาชนะดินเผาขนาดสามัญซึ่งมีการตกแต่งพื้นที่ส่วนใหญ่บนผิวภาชนะด้านนอกด้วยเส้นขีดเป็นลายคดโง จึงดูเสมือนเป็นภาชนะที่มีปริมาณลวดลายขีดตกแต่งหนาแน่นกว่าบนภาชนะของสมัยต้นช่วงแรก
ระยะที่ 3 เริ่มปรากฏภาชนะแบบที่มีผนังด้านข้างตรงถึงเกือบตรง ทำให้มีรูปร่างภาชนะเป็นทรงกระบอก (beaker) และยังมีภาชนะประเภอหม้อก้นกลม คอภาชนะสั้นๆ ปากตั้งตรง ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบตลอดทั้งใบ
ระยะที่ 4 ปรากฏภาชนะดินเผาประเภทหม้อก้นกลม มีกลุ่มหนึ่งตกแต่งบริเวณไหล่ภาชนะด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้งผสมกับการระบายด้วยสีแดง ในขณะที่ส่วนบริเวณลำตัวภาชนะช่วงใต้ไหล่ลงมาตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ภาชนะดินเผาแบบนี้มีการตั้งชื่อว่า ภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้วเพราะพบว่าเป็นภาชนะดินเผาประเภทหลักที่พบในชั้นอยู่อาศัยของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ช่วงแรกที่บ้านอ้อมแก้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเชียง
ผู้คนในช่วงแรกๆ ของบ้านเชียงสมัยต้นยังไม่มีการใช้วัตถุที่ทำด้วยโลหะ เครื่องมือมีคมที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นขวานหินขัด เครื่องประดับร่างกายที่ใช้ก็ทำจากหินและเปลือกหอย
แต่ต่อมาราว 4,000 ปีมาแล้ว เริ่มมีการใช้โลหะสำริด โดยใช้ทำทั้งเครื่องมือและเครื่องประดับ เช่น หัวขวาน ใบหอก แหวน กำไล ฯลฯ
2.สมัยกลาง (Middle Period) อายุระหว่าง 3,000-2,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย
ช่วงเวลานี้ คนยุคก่อนประวัติสาสตร์ที่บ้านเชียงเป็นเกษตรกรที่มีการใช้โลหะทำเครื่องมือใช้สอยและเครื่องประดับแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงแรกๆ ของสมัยกลางยังไม่มีการใช้เหล็ก มีแต่การใช้สำริด จนกระทั่งราว 2,700-2,500 ปีมาแล้ว จึงเริ่มปรากฏการใช้เหล็กขึ้นที่บ้านเชียง
ประเพณีการฝังศพของคนสมัยนี้เป็นแบบการวางศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว บางศพมีการนำภาชนะมากกว่า 1 ใบมาทุบให้แตก แล้วโรยคลุมทับศพ
ภาชนะดินเผาประเภทเด่นที่พบในหลุมศพสมัยกลาง ได้แก่ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ ผิวนอกสีขาว ทำส่วนไหล่ภาชนะหักมุมหรือโค้งมากจนเกือบเป็นมุมค่อนข้างชัด มีทั้งแบบก้นกลมและก้นแหลม บางใบมีการตกแต่งด้วยลายขีดผสมกับลายเขียนสีที่บริเวณใกล้ปากภาชนะ ในช่วงปลายสุดของสมัยกลาง เริ่มมีการตกแต่งปากภาชนะดินเผารูปแบบเช่นนี้ด้วยการทาสีแดง
3.สมัยปลาย (Late Period) อายุระหว่าง 2,300-1,800 ปีมาแล้ว
สมัยนี้มีการใช้เหล็กทำเป็นเครื่องเครื่องใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเชียง ส่วนสำริดยังคงถูกใช้ทำเป็นเครื่องประดับที่มีรูปแบบและลักษณะที่ประณีต วิจิตรบรรจงมากขึ้นกว่าสมัยที่ผ่านมา
ประเพณีการฝังศพของคนในสมัยนี้เป็นแบบวางศพในท่านอนหงายเหยียดยาว มีภาชนะดินเผาทับบนศพ
ลักษณะภาชนะดินเผาที่พบในช่วงสมัยนี้ ได้แก่
ช่วงต้นของสมัยปลาย พบภาชนะดินเผาเขียนสีแดงบนพื้นสีนวล
ช่วงกลางของสมัยปลาย เริ่มมีการใช้ภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นสีแดง
ช่วงท้ายของสมัยปลาย เริ่มมีการใช้ภาชนะดินเผาทาด้วยน้ำดินสีแดงแล้วขัดมัน

สภาพสังคม
สภาพสังคมของบ้านเชียงโดยสรุปเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ควบคู่ไปกับการหาของป่าและล่าสัตว์ รู้จักการผลิตและควบคุมผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของสมาชิกในชุมชน รู้จักการจัดสรรผลิตผลส่วนเกินสำหรับแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบบางประการที่ไม่มีในชุมชนของตนกับต่างชุมชน เป็นสังคมที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านโลหกรรม การผลิตภาชนะดินเผา ภายในชุมชนมีการแบ่งงานกัน มีรูปแบบความเชื่อและวัฒนธรรมร่วมกัน มีพิธีกรรมที่ซับซ้อน มีการแบ่งระดับ สถานะ หรือความสำคัญของบุคคล โดยสามารถสังเกตและตีความได้จากหลักฐานต่างๆ ภายในบ้านเชียง โดยเฉพาะหลักฐานประเภทหลุมฝังศพจากวัดโพธิ์ศรีใน (เกสรบัว เอกศักดิ์ 2546)การขุดค้นทางโบราณคดี ในปี 2546-2548 ที่วัดโพธิ์ศรีใน ได้พบหลักฐานโครงกระดูกสัตว์ที่สำคัญแบบเต็มโครงสมบูรณ์  ได้แก่ โครงกระดูกควาย โครงกระดูกปลา และโครงกระดูกสุนัข เป็นต้น จากการวิเคราะห์เบื้องต้นโดย ดร.อำพัน กิจงาม นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระดูกสัตว์  ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงกระดูกควายที่พบว่า  น่าจะเป็นควายที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน  เนื่องจากกระดูกเท้ามีลักษณะผิดปกติ   ซึ่งเกิดจากการกดทับจากการใช้แรงงาน นอกจากนี้ ขณะดำเนินการขยายผนังหลุมขุดค้น เพื่อวางโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ได้พบโครงกระดูกสุนัขแบบเต็มโครงสมบูรณ์  ซึ่งน่าจะเป็นสุนัขที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เช่นกัน (กระทรวงวัฒนธรรม มปป.)  ข้อมูลจากกระดูกสัตว์ (กระทรวงวัฒนธรรม มปป. ; Kijngam 1979) ดร. อำพัน  กิจงาม นักโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสัตว์ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างกระดูกสัตว์ชนิดต่างๆ ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ผลการศึกษาระบุว่า ได้พบกระดูกสัตว์มากกว่า 60 ชนิด (Kijngam 1979) โดยชนิดของสัตว์ที่พบในพื้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง สามารถนำมาศึกษาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรวมไปถึงปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งย่อมมีความแตกต่างกันไปตามชนิดและประเภทของสัตว์ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ ณ ระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ต้องอาศัยการศึกษาวิเคราะห์ชนิดของพืชประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงตั้งแต่สมัยต้นจนถึงสมัยปลาย ได้แก่ วัว หมู และสุนัข จากการศึกษาพบว่าสัตว์เลี้ยงดังกล่าวมีอายุค่อนข้างน้อยเมื่อตาย ต่อมาในสมัยกลางได้พบกระดูกควาย ซึ่งสามารถระบุได้ว่าเป็นควายเลี้ยงเพื่อใช้งาน เพราะมีการนำกระดูกกีบเท้าของควาย (III  phalange) ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงมาศึกษาเปรียบเทียบกับควายปัจจุบัน พบว่ามีร่องรอยการลากไถเหมือนกัน โดยมีความแตกต่างกับวัวซึ่งไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้วัวในการลากไถเลย ผลการศึกษายังระบุอีกว่า เมื่อปรากฏหลักฐานการเลี้ยงควายในสมัยกลาง ก็ปรากฏหลักฐานการใช้เครื่องมือเหล็กที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สัตว์จำพวก วัวป่า หมูป่า กวาง สมัน ละอง/ละมั่ง เนื้อทราย เก้ง เป็นสัตว์ที่ถูกล่ามาเพื่อใช้เป็นอาหาร มีหลักฐานประการหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปริมาณความหนาแน่นของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากขึ้นตั้งแต่สมัยกลางลงมา ส่วนสัตว์ขนาดเล็กที่ถูกจับมาเป็นอาหาร ได้แก่ กระต่าย ชะมด อีเห็น พังพอน หนู นาคใหญ่ เสือปลา แมวป่า สัตว์น้ำ ได้แก่ หอยและปลาชนิดต่างๆ   สัตว์เหล่านี้จะพบมากในสมัยต้นและเริ่มลดจำนวนลงในสมัยต่อมา นอกจากนี้ยังพบสัตว์จำพวก จระเข้ หมาหริ่ง ตัวนิ่ม อึ่งอ่าง คางคก ตะกวด และเม่น รวมอยู่ด้วย
ประเภทและชนิดของสัตว์ที่พบ ทำให้สามารถระบุลักษณะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ได้ โดยอาศัยรูปแบบการดำรงชีวิตของสัตว์เป็นตัววิเคราะห์สภาพแวดล้อม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในสมัยต้น พบว่ามีสัตว์ที่ชอบอยู่อาศัยในภูมิประเทศแบบป่าดิบแล้ง (Dry decidous forest) และมีแหล่งน้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสมัยกลาง ผลการศึกษาระบุว่า ความต้องการในการขยายพื้นที่เพาะปลูกเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีบางประการ อันได้แก่ การใช้เครื่องมือเหล็ก และรู้จักใช้ควายเป็นเครื่องทุ่นแรงในการลากไถ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพแวดล้อมของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเกิดการเปลี่ยนแปลง ยังผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย ทำให้หลักฐานกระดูกสัตว์ที่พบเกิดการเปลี่ยนแปลงไป

ลวดลายบนภาชนะดินเผา
อัตถสิทธิ์ สุขขำ (2547) ศึกษาและตีความลวดลายบนภาชนะดินเผาที่พบในแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีในว่า ลวดลายภาชนะแสดงถึงความพิถีพิถัน ผู้ผลิตสร้างขึ้นให้กับผู้ตายตามประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับความตาย พื้นฐานทางความคิดของผู้สร้างสรรค์ลวดลายของชุมชนมีความร่วมกันทางวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ปรากฏถึงความหลากหลายในการออกแบบ ซึ่งมีพัฒนาการในระยะแรกเริ่มจากรูปแบบเรียบง่าย เมื่อผลิตจำนวนมากขึ้น มีความรู้ความชำนาญมากขึ้น ก็พัฒนาไปสู่การสร้างลวดลายที่ซับซ้อนมากขึ้นในระยะหลัง
อัตถสิทธิ์ สุขขำ (2547) ได้จัดจำแนกแนวคิดในการออกแบบลวดลายของผู้ผลิตภาชนะดินเผาก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง ได้ดังนี้
1.กลุ่มลวดลายรูปร่างเลขาคณิต (Geometric Shape Designs)
2.กลุ่มลวดลายอิสระแบบดุลยภาพสมมาตร (Free-Hand Formal Balance Designs)
3.กลุ่มลวดลายอิสระแบบดุลยภาพอสมมาตร (Free-Hand Informal Balance Designs)
ส่วนรูปแบบลวดลายที่นิยมในสมัยปลาย คือ การเขียนสีบนเคลือบน้ำดินสีนวล ลวดลายวงกลมหรือวงรี ลวดลายเส้นโค้งแบบก้นหอยวนเข้าหาจุดศูนย์กลาง ลายเส้นโค้งแบบก้นหอยวนเข้าหาจุดศูนย์กลางแล้ววนออก  และลวดลายตัว S และ Z
นอกจากนี้ อัตถสิทธิ์ สุขขำ (2547) ยังตีความพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์จากลวดลายบนภาชนะดินเผาที่พบที่แหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีในว่ามีความซับซ้อนขึ้นตามช่วงเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ประชากรบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน
การศึกษาฟันในโครงกระดูกเด็ก 13 โครง จากทั้งหมด 43 โครงของสมัยต้น (สยาม แก้วสุวรรณ 2546) พบว่าเด็กที่เสียชีวิตมีอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 15 ปี พบโรคฟันผุมาก (พบแทบทุกโครงที่ศึกษา) อาจแสดงถึงความนิยมบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล และทำความสะอาดฟันไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังพบโรคปริทันต์ 2 โครง
นฤพล หวังธงชัยเจริญ (2552) ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน จำนวน 109 โครง พบว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์วัยทารกถึงวัยรุ้น (อายุต่ำกว่า 20 ปี) 47 โครง และโครงกระดูกผู้ใหญ่ 62 โครง เพศชายมีความสูงระหว่าง 159.3-167.3 เซนติเมตร เพศหญิงมีความสูงระหว่าง 144.5-153.8 เซนติเมตร เพศชายมีขนาดเฉลี่ยของกระดูกไหปลาร้า ต้นแบน ปลายแขนด้านนอก ปลายแขนด้านใน ต้นขา สะบ้า หน้าแข้ง และกระดูกข้อเท้า calcaneus และ talus ใหญ่ กว้าง และหนากว่าค่าเฉลี่ยในกระดูกชิ้นเดียวกันของเพศหญิงอย่างมีนับสำคัญทางสถิติ เพราะฉะนั้นสามารถใช้กระดูกชิ้นเหล่านี้ประเมินเพศได้ นอกจากนี้จากการศึกษายังได้สมการประเมินอายุเมื่อตายของโครงกระดูกวัยทารกถึงวัยรุ่น 
กรกฎ บุญลพ และนฤพล หวังธงชัยเจริญ (2553) ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากแหล่งโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน ได้ผลดังนี้
เพศและอายุ
จำนวนโครงกระดูกมนุษย์ที่นำมาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ทั้งสิ้น 109 ตัวอย่าง สามารถจำแนกเป็น วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้น จำนวน 43 ตัวอย่าง และ วัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ จำนวน 66 ตัวอย่าง และในแต่ละช่วงวัยสามารถแยกย่อยออกเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับชั้นวัฒนธรรมและเพศ ได้คือ
            กลุ่มวัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้น จำนวน 43 ตัวอย่าง จำแนกเป็น
            - วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยต้น         25         ตัวอย่าง
            - วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยกลาง       2          ตัวอย่าง
            - วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นในชั้นวัฒนธรรมสมัยปลาย      15         ตัวอย่าง
            - วัยแรกเกิดถึงวัยรุ่นตอนต้นจัดชั้นวัฒนธรรมไม่ได้            1          ตัวอย่าง
            กลุ่มวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่  จำนวน 66 ตัวอย่าง จำแนกเป็น
            - เพศชาย จำนวน 26 ตัวอย่าง  แบ่งเป็น
                        ก.สมัยต้น 10         ตัวอย่าง 
                        ข.สมัยปลาย         16         ตัวอย่าง
            - เพศหญิง จำนวน 26 ตัวอย่าง แบ่งเป็น
                        ก.สมัยต้น 13         ตัวอย่าง
                        ข.สมัยปลาย         11         ตัวอย่าง
                        ค.จำแนกชั้นวัฒนธรรมไม่ได้  2 ตัวอย่าง
            - วัยผู้ใหญ่ ไม่สามารถระบุเพศได้ จำนวน 14 ตัวอย่าง    แบ่งเป็น
                        ก.สมัยต้น            3          ตัวอย่าง
                        ข.สมัยปลาย         8          ตัวอย่าง
                        ค.จำแนกชั้นวัฒนธรรมไม่ได้ ตัวอย่าง
การศึกษาโครงกระดูกมนุษย์จากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในของนฤพล หวังธงชัยเจริญ  พบว่าเบื้องต้นสามารถ
ลักษณะทางกายภาพของกะโหลกศีรษะ
            ลักษณะที่สามารถวัดได้
ผลการวัดกะโหลกศีรษะและดรรชนีรูปพรรณสัณฐานของส่วนต่างๆ ในกะโหลกศีรษะมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ วัยผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง จากตัวอย่างหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่พบจากการขุดค้น พ.ศ.2546  ตามรายละเอียดดังปรากฏในตารางข้างต้นนั้น  นำไปสู่การอธิบายเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของประชากร ซึ่งเป็นแนวทางในการศึกษาตามมาตร ฐานทางมานุษยวิทยากายภาพชีวภาพ (Howells 1973; Martin and Saller 1957) ที่แสดงให้เห็นความสอดคล้องของสัดส่วนรูปพรรณสัณฐานในกะโหลกศีรษะ ระหว่างขนาดที่ได้จากการวัดตามจุดกำหนดต่างๆ กับดรรชนีบ่งชี้รูปทรงสัณฐานของกะโหลกศีรษะในกลุ่มประชากรสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ ดังนี้
            รูปทรงของกะโหลกศรีษะโดยรวม (Vault Shape)
รูปทรง Vault shape จากกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ ปรากฏชัดเจนจากค่าดรรชนีจำนวน 3 รายการ ได้แก่ ดรรชนี  cranial (หรือ length-breadth), ดรรชนี height-breadth, และ ดรรชนี height-length ทั้งนี้ พบว่าผลการศึกษาครั้งนี้มีความสอดคล้องกับผลการศึกษากะโหลกศีรษะจากแหล่ง โบราณคดีบ้านเชียง ชุดที่พบจากการขุดค้นเมื่อ พ.ศ. 2517-2518 (Pietrusewsky and Douglas 2002) กล่าวคือ พบว่าทั้งในเพศชายและหญิง ส่วนใหญ่มีลักษณะกะ โหลกศีรษะแบบ Mesocranial หรือกะโหลกศีรษะขนาดปานกลาง ซึ่งถือเป็นดรรชนีที่เด่นที่สุดในกลุ่มดรรชนีที่สามารถประเมินได้จากผลการศึก ษาโดยวิธีการวัด โดยในเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 74.1-83.8 ขณะที่ค่าดรรชนีของเพศชายอยุ่ที่ระหว่าง 69.9-85.2 (โปรดดูรายละเอียดประกอบจากตาราง ที่ 2.1 – 2.4)
สำหรับการศึกษาในมิติด้านความสูงของกะโหลกศีรษะ (cranial height) นั้น ปรากฏว่า ทั้งสองเพศ (ชาย-หญิง) มีรูปทรงกะโหลกศีรษะที่มีความสูงค่อนข้างมาก (hypsicrane or high cranium) กล่าวคือมีค่าดรรชนีระหว่าง 77.8-80.3 ในเพศชาย และในเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 69.6 – 80.8)  กระนั้นก็ดี ค่าดรรชนีที่ได้บ่งชี้ว่ากะโหลกศีรษะของเพศหญิงมีความสูงกว่ากะโหลกศีรษะของเพศชาย เล็กน้อย
ส่วนดรรชนี height-breadth cranial index  แสดงให้เห็นว่าทั้งเพศหญิงและชายมีลักษณะกะโหลกศีรษะสูง ที่จัดอยู่ในกลุ่ม acrocrane  โดยในเพศชายมีค่าดรรชนีระหว่าง 93.1-107.8  ส่วนเพศหญิงมีค่าดรรชนีระหว่าง 87.5-107.1
โดยสรุปแล้ว จากข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวบ่งชี้ว่าประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จากกลุ่มตัว อย่างที่นำมาศึกษาชุดนี้  ทั้งเพศชายและหญิงล้วนมีรูปพรรณสัณฐานของกะโหลกศิรษะที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นมิติของความสูงหรือความกว้าง-ยาว โดยมีความกว้างและยาวปานกลาง ขณะที่ในมิติด้านความสูงนั้น กะโหลกศีรษะของทั้ง 2 เพศ มีลักษณะค่อนข้างสูง  อย่างไรก็ตาม  ในภาพรวมทั้งหมดกะโหลกศีรษะของเพศหญิงมีขนาดที่เล้กกว่ากะโหลกศีรษะของเพศชายเล็กน้อย  อนึ่ง  นักวิชาการด้านมานุษยวิทยากายภาพชีวภาพ บางท่าน เช่น Larsen (1997, 2000) ให้ความเห็นว่าขนาดที่ไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างกะโหลกศีรษะของเพศหญิงและชายนั้น อาจเป็นผลมาจากปัจจัยด้านโภชนาการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีความคล้ายคลึงกันในขนาดและสัณฐานของกะโหลกศีรษะของกลุ่มตัวอย่างประชากรก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงชุดที่นำมาศึกษานี้ ก็อาจเป็นไปในทำนองเดียวกัน
            รูปพรรณสัณฐานของส่วนใบหน้าโดยรวม (Face Shape)
ข้อมูลจากผลการศึกษากะโหลกศีรษะโดยวิธีการวัดกลุ่มตัวอย่างชุดนี้ บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของดรรชนีสัดส่วนใบหน้า ไม่ว่าจะโดยการพิจารณาเฉพาะส่วนบน (upper facial) หรือใบหน้าทั้งหมด (total facial ซึ่งรวมถึงส่วนขากรรไกรล่าง)  โดยเพศชายมีค่าขนาดสัดส่วนใบหน้าปานกลาง-สูง ในขณะที่เพศหญิงมีค่าขนาดสัดส่วนใบหน้าปานกลางโดยเฉลี่ย นอกจากนั้น  รูปพรรณสัณฐานในส่วนใบหน้ายังสามารถพิจารณาได้จากสัดส่วนของเบ้าตา, โพรงจมูก, เพดานปากในกระดูกขากรรไกรบน, กล่าวคือ ทั้งเพศชายและหญิงล้วนมีค่าดรรชนีของสัณฐานเบ้าตาที่กว้าง (hypericonch)  ส่วนสัณฐานของโพรงจมูกนั้นก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้ง 2 เพศ เป็นส่วนใหญ่ คือจัดเป็นแบบโพรงจมูกขนาดปานกลาง (mesorrhine) กระนั้นก็ดี ในบางตัวอย่างของเพศชายและหญิงก็แสดงให้เห็นความหลากหลายของรูปทรงสัณฐานส่วนโพรงจมูก ทั้งนี้ นอกจากโพรงจมูกขนาดปานกลางแล้วยังพบว่ามีรูปทรงโพรงจมูกแบบกว้าง (chamaerrhine) และแบบกว้างมาก (hyperchamaerrhine)  ส่วนรูปทรงของพื้นที่เพดานปากในกระดูกขากรรไกรบน พบว่าจัดเป็นแบบเพดานปากที่มีความกว้างในทั้ง 2 เพศ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสัดส่วนความกว้างและความยาวของขอบด้านนอกที่สามารถวัดได้จากกระดูกส่วนดังกล่าว
            รูปพรรณสัณฐานของขากรรไกรล่าง โดยรวม (Mandible Shape)
ดรรชนี 2 รายการ ประกอบด้วย ramus index และ jugomandibluar index ที่ศึกษาได้ในกระดูกขากรรไกรล่าง บ่งชี้ขนาดและรูปทรงสัณฐานของกระดูกส่วนดังกล่าวในเพศชายและเพศหญิงได้ว่า ขากรรไกรล่างของผู้หญิงมีขนาดที่แคบกว่าขากรรไกรล่างของผู้ชายเล็กน้อยเมื่อพิจารณาจากดรรชนี jugomandibluar index แต่หากพิจารณาจากดรรชนี ramus index จะพบว่า ขากรรไกรล่างในเพศชายมีขนาดที่กว้างกว่าขากรรไกรล่างในเพศหญิงไม่มากนัก
            ลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้
ผลจากการศึกษารูปพรรณสัณฐานของกะโหลกศีรษะทั้งเพศชายและหญิง  สามารถสรุปลักษณะทางกายภาพที่ไม่สามารถวัดได้ของกะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนทั้งกลุ่มเพศชายและหญิง ดังนี้
เพศชาย : กะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนในการอธิบายภาพของลักษณะทางกายภาพในกะโหลกศีรษะของเพศชาย พบว่าในมิติด้านหน้า (frontal or anterior view) แสดงให้เห็นลักษณะหน้าผากที่ลาดเทสันคิ้วที่ค่อนข้างชัดเจนและเผยให้เห็นโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแกร่งของส่วนโหนกแก้ม (well-marked robust zygomatics)  โครงสร้างใบหน้าส่วนบน (upper facial) และพื้นที่โพรงจมูก (nasal aperture) ล้วนมีขนาดไม่ใหญ่นัก 
เมื่อพิจารณาในมิติทางด้านหลังหรือด้านท้ายทอยของกะโหลกศีรษะ (occipital view) พบว่าเพศชายมีรูปทรงของแนวโค้งกะโหลกศีรษะเป็นแบบ haus-form หรือรูปทรงคล้าย 5 เหลี่ยม (ent agonal shape)
มิติทางด้านข้าง เช่น ข้างซ้าย (left lateral view) เผยให้เห็นสัณฐานของส่วนสันคิ้ว (supra orbital ridge) ที่ไม่เด่นชัดมากนัก นอกจากนั้น พบว่ามีลักษณะการยื่นของขากรรไกรโดยเฉพาะการยื่นของขากรรไกรบน (prognathic upper face) เล็กน้อยเช่นกัน   สัณฐานของกะโหลกส่วนห่อหุ้มสมอง (cranium) ซึ่งมีความสูงปานกลางนั้นสัมพันธ์อย่างได้สัดส่วนกับความกว้างและยาว   บริเวณปุ่มกระดูกด้านหลังหู (mastoid process) มีลักษณะเด่นชัด ขนาดใหญ่
มิติด้านบน (superior view) แสดงให้เห็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสมมาตร และมีรูปทรงคล้ายปีกผีเสื้อ (sphenoid shape) คละเคล้ากับรูปทรงแบบยาวรี (elippsoid shape) และแบบกลมรีคล้ายรูปไข่ (ovoid shape) 
มิติด้านฐานกะโหลก (basal view) บ่งชี้รูปพรรณสัณฐานของเพดานปาก (palate) ที่มีความกว้างปานกลาง ถึงกว้างมาก ทั้งยังพบว่าฟันแท้ในชุดขากรรไกรบนมีลักษณะสึกกร่อนอย่างชัดเจน รวมทั้งปรากฏลักษณะทางกายภาพบางประการที่บ่งชี้ลักษณะเด่นของกลุ่มประชากรในสายพันธุ์มงโกลอยด์ เช่น ลักษณะฟันรูปพลั่ว (shovel-shaped) ในผิวสัมผัสฟันด้านประชิดลิ้นของฟันตัดซี่กลาง (upper central incisors)
เพศหญิง : กะโหลกศีรษะที่เป็นตัวแทนในการอธิบายภาพของลักษณะทางกายภาพในกะโหลกศีรษะของเพศชาย พบว่าในมิติด้านหน้า (frontal or anterior view) แสดงให้เห็นลักษณะโพรงจมูก (nasal aperture)  ที่กว้าง
มิติทางด้านหลังหรือด้านท้ายทอยของกะโหลกศีรษะ (occipital view) พบว่ามีลักษณะสัณฐานของกะโหลกศีรษะแบบ arch shape ที่เด่นชัด
มิติทางด้านข้าง เช่น ข้างซ้าย (left lateral view) บ่งชี้ลักษณะเด่นชัดของเพศหญิง โดยเพาะส่วนหน้าผากที่โค้งมน สัมพันธ์กับบริเวณสันคิ้วที่ค่อนข้างเรียบ ขณะที่แนวโค้งของกะโหลกด้านหลังก็มีลักษณะโค้งมันรับกับส่วนหน้าผากเช่นเดียวกัน  นอกจากนั้น ยังปรากฏลักษณะที่คล้ายคลึงกับกะโหลกศีรษะของเพศชาย ซึ่งได้แก่สัณฐานที่มีการยื่น (prognathic) ของใบหน้าส่วนบน (upper  facial) รวมทั้งช่วงของกระดูกโหนกแก้มที่กว้างและแข็งแกร่ง (broad and robust zygomatics) ทั้งนี้ ยังพบว่าส่วนสูงของกะโหลกศีรษะมีความสูงปานกลางสัมพันธ์กับช่วงความกว้างและความยาว  โดยมีกระดูกปุ่มหลังหู (mastoid process) ขนาดเล็ก
มิติด้านบน (superior view)  มีลักษณะรูปทรงของกะโหลกศีรษะคล้ายรูปปีกผีเสื้อ (sphe noid sahpe)  ซึ่งเป็นรูปทรงสัณฐานที่ไม่สมมาตรระหว่างพื้นที่ส่วนหน้ากับส่วนหลังนั่นเอง
มิติด้านฐานกะโหลก (basal view) พบว่าในฟันกรามชุดขากรรไกรบนแสดงให้เห็นการสึกกร่อนของฟันไม่มากนัก  ส่วนในฟันตัดซี่กลาง (upper incisors) ก็ปรากฏพบลักษณะเด่นของกลุ่มประชากรสายพันธุ์มองโกลอยด์เช่นเดียวกันกับเพศชาย ซึ่งได้แก่ลักษณะฟันรูปคล้ายพลั่ว (shovel-sahpe) ในผิวสัมผัสด้านประชิดลิ้น  ส่วนรูปทรงของกระดูกเพดานปากในขากรรไกรบนมีลักษณะกว้าง อย่างไรก็ดี มิติด้านบนและด้านฐานของกะโหลกศีรษะเพศหญิงผู้นี้ มีลักษณะค่อนข้างบิดเบี้ยว  ซึ่งไม่น่าจะเป็นการบิดเบี้ยวที่มีมาแต่กำเนิดหรือเป็นการบิดเบี้ยวตามธรรมชาติ  แต่น่าจะเป็นผลมาจากการบดอัดของดินเป็นเวลานานจนทำให้ไม่สามารถประกอบกลับให้ได้รูปทรงปกติตามลักษณะธรรมชาติ
ลักษณะทางกายภาพของฟัน
การศึกษาลักษณะที่สามารถวัดได้พบว่าขนาดพื้นที่ฟันโดยรวม  = 1,066.76 ตร.มม
ส่วนการศึกษาลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้พบว่า ลักษณะฟันคล้ายรูปพลั่วหรือ “Shovel-shaped teeth” เป็นลักษณะที่ไม่สามารถวัดได้ของฟัน ซึ่งถือเป็นลักษณะเด่นที่พบได้เด่นชัดในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้  ทั้งนี้ ลักษณะทางกายภาพดังกล่าว เป็นศัพท์ที่บ่งชี้ถึงรูปพรรณสัณฐานของฟันแท้ในชุดฟันตัดซี่กลางและซี่ริม ทั้งในชุดขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง  ซึ่งส่วนขอบด้านข้างของฟันซี่ดังกล่าวจะยกขึ้นเป็นสันทั้งสองข้าง ทำให้พื้นที่ตรงกลางมีลักษณะเป็นแอ่ง เมื่อมองโดยรวมแล้วทำให้ผิวสัมผัสของฟันด้านประชิดลิ้นมีรูปทรงคล้ายพลั่ว
ฟันรูปทรงคล้ายพลั่วที่ปรากฏในฟันตัดดังกล่าว ถือเป็นลักษณะทางกายภาพแบบเด่นที่พบได้มากในกลุ่มประชากรมนุษย์แถบเอเชียตะวันออก (Hrdlicka 1920) นอกจากนั้น  Scott และ Turner (1977) ได้ศึกษาในทางสถิติแล้วยังพบด้วยว่า สามารถใช้คุณลักษณะของฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วนี้ เป็นบรรทัดฐานในการแบ่งกลุ่มสายพันธุ์มนุษย์แถบเอเชียตะวันออก ออกเป็น 2 กลุ่มย่อยด้วย ได้แก่ กลุ่มย่อยสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายเหนือ (Northern Mongoloid) และสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายใต้ (Southern Mongoloid)  ผลการศึกษาทางสถิติของ Scott และ Turner พบว่า กลุ่มสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายเหนือซึ่งจัดเป็นฟันแบบ Sinodont นั้น มีอัตราการพบลักษณะของฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วสูงถึงประมาณ 60-90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวได้แก่ ประชากรชาวจีน ธิเบต และกลุ่มที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกของเอเชียตะวันออกนั่นเอง  ส่วนกลุ่มสายพันธุ์มงโกลอยด์ฝ่ายใต้ ซึ่งจัดเป็นฟันแบบ Sundadont นั้น มีอัตรการพบฟันตัดรูปทรงคล้ายพลั่วในอัตราที่ต่ำกว่าประชากรกลุ่มมงโกลอยด์ฝ่ายเหนือ  กล่าวคือพบในอัตราประมาณ 20-50 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งได้แก่กลุ่มประชากรในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้   และกลุ่มหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ คือ กลุ่มหมู่เกาะโพลีนีเซีย (Polynesians) และแถบหมู่เกาะไมโครนีเซีย (Micronesia)  
นอกจากนั้น  การศึกษาลักษณะรูปทรงสัณฐานของขากรรไกร  พบว่าในเพศชายมีการถอนฟันตัดซี่ริมในชุดขากรรไกรบน ซึ่งแสดงเห็นว่าเป็นการหลุดร่วงก่อนที่จะเสียชีวิต(Pre mortem tooth lost) โดยกระดูกเบ้าฟันมีการสมานเข้าด้วยกัน  ส่วนขากรรไกรล่างพบว่า ขากรรไกรล่างของตัวแทนเพศชายทางด้านหน้าแสดงให้เห็นลักษณะเด่นของความเป็นเพศชายอย่างชัดเจน คือส่วนคางมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นสัน   เมื่อพิจารณาทางด้านข้างนั้นส่วน gonio-condylar แสดงให้เห็นลักษณะที่แผ่กางออกอย่างเด่นชัด และมี รู mental foramen ทั้งซ้ายและขวาข้างละหนึ่งรู  ส่วน ramus มีลักษณะสูง ขณะที่ส่วน coronoid process ยกสูงมากกว่าส่วน mandibular condyle ส่วนอัตราการสึกของฟันนั้นพบว่า โดยรวมแล้วฟันมีการสึกกร่อนปานกลาง  ทั้งนี้ ไม่ปรากฏลักษณะ rocker jaw ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายที่ศึกษาแต่อย่างใด
ส่วนขากรรไกรบนของเพศหญิงก็พบว่ามีการถอนฟันตัดซี่ริมในชุดขากรรไกรบนเช่นกัน ซึ่งเป็นการหลุดร่วงของฟันก่อนที่จะเสียชีวิต(Pre mortem tooth lost)เพราะกระดูกเบ้าฟันแสดงให้เห็นการสมานเข้าด้วยกัน   ขณะที่จากรรไกรล่างนั้น หลายตัวอย่างแสดงให้เห็นการหลุดร่วงของฟันที่เกิดขึ้นหลังจากเสียชีวิตแล้ว (Post mortem tooth lost)  บริเวณคางมีลักษณะมน และส่วน gonio-condylar มีลักษณะแผ่กางออกเช่นเดียวกับเพศชาย ขณะที่ส่วน ramus มีลักษณะแคบ ทั้งนี้ ไม่ปรากฏลักษณะ rocker jaw ในกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงที่ศึกษาเช่นกัน
ลักษณะทางกายภาพของกระดูกส่วนต่ำกว่ากะโหลกศีรษะและสัดส่วนความสูง
แม้ว่าการศึกษาลักษณะที่วัดได้และวัดไม่ได้จากกระดูกส่วนต่ำกว่ากะโหลกศีรษะ หรือส่วนใต้กะโหลกศีรษะ  ของตัวอย่างโครงกระดูกจากหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ครั้งนี้จะมีข้อจำกัดอย่างน้อย 2 ประการ คือ (1) สภาพความชำรุด แตกหัก หรือความไม่สมบูรณ์ของส่วนกระดูกที่นำมาศึกษา ส่งผลให้ข้อมูลการวัดต่างๆ ทั้งสองระเบียบวิธีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นำมาซึ่งข้อจำกัดในประการต่อมา หรือ (2) ข้อจำกัดทางสถิติ การศึกษาวิเคราะห์ต่างๆ มีจำนวนตัวอย่างอ้างอิงไม่มากเพียงพอ เพื่อเสริมให้ข้อมูลเกิดความสมบูรณ์กับมีความน่าจะเป็นในอัตราร้อยละที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ข้อมูลการศึกษาได้สร้างภาพความเข้าใจถึงลักษณะกายภาพของตัวอย่างประชากรดีในระดับหนึ่ง สรุปเบื้องต้นได้ คือ
ความยาวและสัดส่วนความสูง
ในกลุ่มกระดูกทารก เด็ก และวัยรุ่น ลักษณะที่วัดได้แสดงถึงพัฒนาการเจริญเติบโตของขนาดกระดูกตามช่วงวัยต่างๆ การศึกษาด้วยวิธีการวัดขนาดความยาว ความกว้าง และเส้นผ่านศูนย์กลางของก้านกระดูก (diaphyses) ตามจุดกำหนดต่างๆ สามารถใช้คำนวณค่าสมการเพื่อประเมินค่าอายุเมื่อตายของโครงกระดูกในอัตราความแม่นยำตั้งแต่ร้อยละ 65.7-91.2 โดยการวัดด้านกว้างส่วนปลายกระดูกต้นแขนให้ความแม่นยำมากที่สุดราวร้อยละ 93.3 ส่วนการวัดด้านกว้างส่วนปลายก้านกระดูกต้นขาให้ค่าความแม่นยำน้อยที่สุดราวร้อยละ 65.7
            สัดส่วนความสูงในโครงกระดูกวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่
สำหรับกลุ่มโครงกระดูกผู้ใหญ่ เพศชายมีสัดส่วนความสูงตามค่าสมการไทยจีนระหว่าง 157.51 – 167.31 เซนติเมตร และมีค่าเฉลี่ยความสูงประมาณ 162.18 เซนติเมตร สูงกว่าเพศหญิงซึ่งมีค่าความสูงโดยเฉลี่ย 153.82 เซนติเมตร และมีค่าความสูงอยู่ระหว่าง 144.15 – 164.33 เซนติเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าความสูงโดยเฉลี่ยของกลุ่มประชากรยุคก่อนประวัติศาสตร์ในไทย อย่างเช่น แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ปีการขุดค้น พ.ศ. 2516-2517 แหล่งโบราณบ้านโคกคอน แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว และตัวอย่างประชากรไทยปัจจุบัน พบว่าตัวอย่างจากวัดโพธิ์ศรีทั้งเพศชายและหญิงสูงใกล้เคียงกับกลุ่มประชากรอื่นที่นำมาเปรียบเทียบ ทั้งหมดจัดได้เป็นความสูงระดับกลาง
รูปพรรณสัณฐานของกระดูกส่วนอื่นๆ
ลักษณะทางกายภาพจากการศึกษาค่าดรรชนี แสดงถึงลักษณะและรูปทรงของกระดูก  โดยเฉลี่ยตัวอย่างเพศชายมีสัดส่วนกระดูกสันหลังช่วงเอวชิ้นที่ 1-3 บริเวณ spine นูน แต่ชิ้นที่ 4-5 ส่วน spine เว้าลง มีกระดูกกระเบนเหน็บกว้าง กระดูกไหปลาร้าหนา กระดูกต้นแขนกลม กระดูกต้นขาค่อนข้างหนา มีรูปด้านตัดของกระดูกต้นขาช่วงบนแบน ช่วงกลางก้านกระดูกค่อนข้างกลมและบาง กระดูกสะบ้าหนาและใหญ่ กระดูกหน้าแข้งหนา กับมีรูปทรงหน้าตัดตอนบนของกระดูกแคบแบบรูปสามเหลี่ยม
ส่วนเพศหญิงโดยเฉลี่ย มีค่าดรรชนีลำตัวกระดูกสันหลังช่วงเอวชิ้นที่ 1-4 นูน แต่ชิ้นที่ 5 เว้าเข้า มีลักษณะกระดูกก้นกบกว้าง กระดูกไหปลาร้าหนา กระดูกต้นแขนกลม กระดูกต้นขาหนา รูปทรงด้านตัดกระดูกต้นขาช่วงบนแบน ส่วนด้านตัดกลางก้านกระดูกต้นขากลมและบาง กระดูกหน้าแข้งหนา และมีรูปทรงด้านตัดบริเวณ nutrient foramen แคบแบบสามเหลี่ยมหรือแคบเช่นเดียวกับเพศชาย
เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางกายภาพจากค่าดรรชนีกระดูก ทั้งสองเพศมีรูปทรงกระดูกใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างใน 3 ประการสำคัญ คือ (1) ขนาดความกว้างและความยาวของกระดูกเชิงกรานของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เป็นลักษณะเฉพาะทางสรีระของเพศหญิงสำหรับการคลอดบุตร (2) ความหนาของกระดูกไหปลาร้าที่มีมากกว่าเพศชายกับสัดส่วนรูปทรงด้านตัดของกระดูกต้นแขนเพศหญิงที่แคบกว่า แสดงถึงการประกอบกิจกรรมที่ต้องใช้ช่วงแขนหัวไหล่อย่างหนักและสม่ำเสมอของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ส่วน (3) ดรรชนีกระดูกสะบ้าของเพศชายมีขนาดกว้าง ยาว และหนากว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่ว่าเพศชายมีขนาดกระดูกใหญ่ กว้าง และหนากว่าเพศหญิงในทุกกลุ่มประชากร สอดคล้องกับผลการเปรียบเทียบข้อมูลการวัดขนาดของกระดูกระหว่างเพศหญิงและชาย ซึ่งพบว่ามีกระดูกอย่างน้อย 9 ส่วนของเพศชาย คือ กระดูกไหปลาร้า กระดูกต้นแขน กระดูกปลายแขนด้านนอก กระดูกปลายแขนด้านใน กระดูกต้นแขน กระดูกสะบ้า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า calaneus และ talus มีค่าขนาดการวัดมากกว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางกายภาพภายในกลุ่มเพศเดียวกันกับช่วงการเปลี่ยนผ่านทางสังคมจากสมัยต้นสู่สมัยปลาย ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏความแตกต่างอย่างใด ยกเว้นจุดกำหนดการวัดส่วนระยะห่างน้อยที่สุดบริเวณกลางก้านกระดูกต้นแขนด้านซ้ายของเพศหญิง ซึ่งเพศหญิงสมัยปลายมีค่าการวัดดังกล่าวมากกว่าเพศหญิงสมัยต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน
ส่วนลักษณะที่วัดไม่ได้ทั้ง 23 ลักษณะ ทั้งสองเพศพบลักษณะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน มีความแตกต่างของการปรากฏลักษณะต่างๆ ไม่ต่างกันมากนัก เพศชายและหญิงมีรูปทรง acromion ของกระดูกสะบักรูปสามเหลี่ยม มี Fovea capilis หัวกระดูกต้นขารูปสามเหลี่ยม มีกระดูกต้นขาโค้งเล็กน้อย กระดูกหน้าแข้งตรง ปรากฏลักษณะแอ่งบริเวณตอนบนของลำตัวกระดูกสะบักราวร้อยละ 89 พบลักษณะรูบนแอ่ง coranoid ของกระดูกต้นแขนราวร้อยละ 10-20 พบรอยกดหรือแอ่งกระดูกบนกระดูกสะบ้าทั้งหมด แต่พบลักษณะรอยบากหรือในส่วนผิวหน้ากระดูกสะบ้าราวร้อยละ 10-20  ทั้งเพศชายและหญิงพบลักษณะรูหลอดเลือดตรงส่วนกลางก้านกระดูกไหปลาร้าด้านหลัง ในอัตราค่อนข้างสูง กับพบลักษณะ distal tibial squatting facet ของกระดูกหน้าแข้งจากทุกตัวอย่างที่สามารถสังเกตศึกษาได้
การเปรียบเทียบพบความแตกต่างระหว่างเพศในอย่างน้อย 5 ลักษณะ คือ (1) รูปทรงกระดูกสะบักด้านใกล้กลางของเพศชายเป็นรูปตรงแต่ของเพศหญิงเป็นรูปเว้า (2) รูปทรง facet ของกระดูกข้อเท้า calcaneus ในเพศชายส่วนใหญ่เป็นรูปทรงเดี่ยวแต่เพศหญิงส่วนใหญ่มีรูปทรงแบบคู่ (3) ลักษณะ peroneal tubercle ของกระดูกหน้าแข้งซึ่งพบเฉพาะในเพศชายแต่ไม่พบในเพศหญิง (4) การปรากฏของรอยสันกระดูกต้นขา third trochanter ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และ (5) ลักษณะ preauricular surface กับ parturition pit ของกระดูกเชิงกรานพบเฉพาะในเพศหญิงเท่านั้น
ความแตกต่างจากการเปรียบเทียบลักษณะที่วัดไม่ได้ทั้งหมด สอดคล้องกับผลการศึกษาลักษณะที่วัดได้ทั้งหมดที่นำเสนอมา ตรงกับความรู้พื้นฐานกับข้อสมมติฐานเบื้องต้นในการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ 2 ประการ คือ (1) โดยปกติเพศชายมีขนาดกระดูกใหญ่ หนา และกว้างกว่าเพศหญิง ลักษณะที่วัดไม่ได้อย่าง peroneal tubercle และ third trochanter ซึ่งเป็นลักษณะที่สัมพันธ์กับสภาวะการเจริญเติบโตของกระดูกมากเกินปกติจึงมีแนวโน้มที่จะปรากฏในเพศชายมากกว่าในเพศหญิงเช่นเดียวกัน และ (2) นอกจากกะโหลกศีรษะแล้ว ส่วนกระดูกที่สามารถใช้ในการจำแนกเพศได้อย่างแม่นยำ คือ กระดูกเชิงกราน เพราะส่วนกระดูกเชิงกรานของเพศหญิงถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาให้มีขนาดกว้างและใหญ่กว่าเพศชายเพื่อทำหน้าที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตร ค่าดรรชนีกระดูกเชิงกรานเพศหญิงจึงมีค่ามากกว่าเพศชาย นอกจากนี้ลักษณะที่วัดไมได้อย่าง preauricular surface กับ parturition pit  ซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ยังปรากฏเฉพาะในเพศหญิงเท่านั้น ไม่พบจากตัวอย่างเพศชายในการศึกษานี้อย่างใด
เมื่อเปรียบเทียบลักษณะที่วัดไม่ได้ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและหญิงในสมัยวัฒนธรรมต่างกัน ไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงใด ลักษณะทางกายภาพโดยเฉพาะของส่วนกระดูกใต้กะโหลกศีรษะยังคงเดิม เป็นลักษณะต่อเนื่องจากสมัยต้นสู่สมัยปลายเหมือนกับผลการเปรียบเทียบลักษณะที่วัดได้เช่นเดียวกัน
พยาธิสภาพและร่องรอยผิดปกติ
ผลจากการศึกษาในเบื้องต้นเกี่ยวกับพยาธิสภาพสมัยโบราณ (Palaeopathology) และร่องรอยผิดปกติ ซึ่งได้แก่ บาดแผลและอาการบาดเจ็บ (Trauma and Injury) ของกลุ่มตัวอย่างโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง  ที่พบจากการขุดค้นบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน ใน พ.ศ.2546 (BC 2003_PSN)  นั้น พบว่าทั้งในกะโหลกศีรษะ และฟัน ตลอดจน กระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนล่าง ไม่ปรากฏร่องรอยของโรคที่สาหัสแต่อย่างใด  โรคที่พบส่วนมากได้แก่กลุ่มอาการของโรคเหงือกและฟัน (ฟันผุและเหงือกอักเสบ) ซึ่งเป็นอาการของโรคปริทันต์  อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มอาการของโรคบางชนิด โดยเฉพาะลักษณะอาการของโรคเกี่ยวกับระบบเลือดผิดปกติ ทีส่งผลกระทบต่อกระดูก  ซึ่งเคยมีรายงานการปรากฏของโรคดังกล่าวในกลุ่มตัวอย่างกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียง ในชุดที่พบจากการขุดค้น พ.ศ.2517-2518 รวมทั้งจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงอื่นๆ เช่น ร่องรอยของกระดูกที่เป็นรูพรุนเนื้อหยาบในส่วนกะโหลกศีรษะ หรือ ลักษณะการขยายตัวใหญ่ผิดปกติของ nutrient foramen ในกระดูกฝ่าเท้าและนิ้ว นั้น กลับไม่ปรากฏพบในกลุ่มตัวอย่างชุด BC 2003_PSN ที่นำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้แต่อย่างใด
ส่วนร่องรอยอาการบาดเจ็บและบาดแผลนั้น ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏลักษณะบาดแผลฉกรรจ์แต่อย่างใด คงมีเพียงบางตัวอย่าง เช่น กะโหลกศีรษะ เท่านั้น มีมีรู คล้ายการเจาะ ด้วยวัตถุบางอย่างที่มีความคม ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด ว่าร่องรอยบาดแผลที่เป็นรูในกะโหลกศีรษะที่พบนั้นเกิดจากอะไร  ทั้งนี้  มีรายงานการศึกษาตัวอย่างกะโหลกศีรษะจากแหล่งโบราณคดีใกล้เคียงในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง ซึ่งได้แก่แหล่งโบราณคดีบ้านธาตุ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ว่ามีกะโหลกศีรษะที่มีรูเจาะลักษณะคล้ายกัน (แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว) โดย ศาสตรจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้วิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์ที่แหล่งโบราณคดีบ้านธาตุให้ความเห็นว่าเป็นลักษณะคล้ายการเจาะกะโหลกศีรษะเพื่อการรักษาอาการของโรคทางสมองบางอย่าง  ซึ่งเทคนิคการเจาะเปิดกะโหลกศีรษะเช่นนี้ เรียกว่า การ trephining  หรือ trephination ซึ่งถือเป็นการรักษาในลักษณะการผ่าตัดอย่างหนึ่ง (สุด   แสงวิเชียร และ วัฒนา  สุภวัน 2520)  อนึ่ง  กรณีกะโหลกศีรษะที่มีรูจากชุด  BC_2003_PSN นี้ ประพิศ พงศ์มาส ให้ความเห็นว่าคล้ายการถูกเจาะโดยเขี้ยวสัตว์ที่มีความยาว แหลมคม
ส่วนบาดแผลอื่นๆ นั้น เท่าที่ประเมินในเบื้องต้น คงเป็นเพียงบาดแผลในช่องปากซึ่งปรากฏในลักษณะร่องรอยการยุบตัวของเนื้อกระดูกขากรรไกร ทั้งบนและล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการหลุดร่วงของฟันก่อนที่จะเสียชีวิต (premortem tooth lost) และเนื้อกระดูกส่วนเบ้าฟันที่ฟันหลุดร่วงออกไปนั้นได้เกิดการสมานแผลเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
อย่างไรก็ดี  การศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องพยาธิสภาพสมัยโบราณในคร้งนี้ เป็นการศึกษาในเบื้องต้นด้วยตาเปล่าเท่านั้น  ในอนาคตอาจสามารถนำตัวอย่างกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชุดนี้มาศึกษาเพิ่มเติมด้วยเทคนิคอื่นๆ เช่น วิธีรังสีวินิจฉัย ก็อาจช่วยให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะพยาธิสภาพ ตลอดจนร่องรอยบาดแผลและอาการบาดเจ็บ ทั้งในกะโหลกศีรษะ ฟัน และกระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนล่างชัดเจนยิ่งขึ้น 
การใช้ประโยชน์: สุสาน
ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล: 
ภาวิณี รัตนเสรีสุข, ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล 
ที่มา: http://www.sac.or.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น